พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 571

แววตานิ่งเรียบของหลงเย่สั่นไหวเล็กน้อย

กงจื่อโยวบีบมือตัวเองเบาๆ และยิ้มให้นาง

“หลงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้เขลา”

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ารำคาญที่ข้าโง่ แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น ข้าฉลาดกว่าเจ้าหน้ากากเงินหน้าโง่นั่นอีก”

“เจ้าเก่งมาก ในคราที่พบกันครั้งแรก ข้าถูกเจ้าหลอกเข้าแล้วจริงๆ จึงรู้สึกสงสารเจ้า กักขังเจ้าไว้เพียงหนึ่งเดือนก็ปล่อยเจ้าออกจากสำนักทิงเสวี่ยไป”

ในตอนที่พบกันครั้งแรก เขาและนางคือคู่อาฆาตกันจากสายเลือดบรรพบุรุษ แต่องค์หญิงอ่อนแอที่ปลอมเป็นชายอย่างนาง กลับทำให้กงจื่อโยวมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเข้าใจถึงความลำบากของนาง

เขาเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ มีฐานะมั่นคงร่ำรวยมหาศาล แต่ก็ไม่อาจควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้

เพราะต่างก็ว่ากันว่าเหล่าสายเลือดของสำนักทิงเสวี่ยต่างก็อายุสั้น กงจื่อโยวคิดมาโดยตลอดว่าเขาสามารถอยู่มาถึงอายุสี่สิบปีได้คงเป็นเพราะพระเจ้าตาบอด

เขาเองก็ไม่อยากกังวลอะไรให้มากมาย เพียงต้องการชีวิตอิสระใช้เวลาดีๆนี้ให้คุ้ม เมื่ออายุมากขึ้นค่อยหาผู้หญิงมาให้กำเนิดลูกให้เขาสักคน

หลังตายไปได้ลงไปพบท่านแม่และเหล่าบรรพบุรุษที่น้ำพุใต้ธรณี จะได้มีคำอธิบายแก่พวกท่าน และไม่ให้ตระกูลไร้ทายาท

“แต่ต่อมาข้ากลับมาคิดดีๆอีกครั้ง ว่าหญิงที่ปลอมเป็นชายอยู่ในวังมานานกว่าสิบปี แต่กลับไม่ถูกใครจับได้เลย แสดงว่านางไม่มีทางอ่อนแอและขี้ขลาดเหมือนที่เห็นภายนอก เมื่อรู้ว่าโดนเจ้าหลอกในตอนแรกข้าโกรธ จนอยากเอาคืนเจ้าสักหน่อย เลยสร้างปัญหาให้เจ้าไม่น้อย…”

นางฉลาดมาก แม้จะพบปัญหาที่ยากถึงเพียงใด ก็สามารถแก้ไขได้อย่างชาญฉลาด

จนกงจื่อโยวก็เริ่มชื่นชมองค์ชายปลอมนี่มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเทียบกับเขา สถานการณ์ของหลงเย่นั้นอันตรายกว่าเขาอยู่หลายเท่า แต่นางไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆเลย ความกล้าหาญและอยากมีชีวิตอยู่ต่อของนางทำให้กงจื่อโยวรู้สึกละอายใจ

เทียบกับหลงเย่แล้ว เขาก็เป็นเพียงสิ่งของไร้ประโยชน์

แม้ว่านางจะดูอ่อนแอ แต่ความดื้อรั้นและอุตสาหะของนางทำให้เขาหวั่นไหวและรู้สึกชื่นชม ดังนั้นเขาจึงต้องการจะช่วยนาง

หลงเย่นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ “ดังนั้นท่านก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือว่าข้าหลอกท่าน? ในเมื่อรู้ว่าโดนข้าหลอกใช้ เหตุใดจึงยอมช่วยข้า?”

นางอ่านความคิดกงจื่อโยวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสัมผัสได้เลยว่ากงจื่อโยวรู้แล้วว่านางหลอกเขา

“เพราะข้าอยากช่วยเจ้า และข้าก็ชอบเจ้ามากจริงๆ” กงจื่อโยวมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าหลอกข้า แต่สำหรับข้ามันไม่สำคัญเลยว่าเจ้าจะหลอกข้าหรือไม่”

ช่วยเหลือและปกป้องนางต่างก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการทำเอง

“ข้ารู้ว่าใจของเจ้าแข็งมาก ไม่มีทางเชื่อใครง่ายๆ โดยเฉพาะข้าที่เป็นคู่อาฆาตทางสายเลือดบรรพบุรุษกับแคว้นถังใต้ ดังนั้นข้าเลยคิดว่า หากการหลอกข้าจะสามารถทำให้เจ้าสบายใจขึ้นได้ เช่นนั้นข้าก็แค่ยอมให้เจ้าหลอกก็ได้แล้ว ไม่มีอะไรเสียหายมากมายสักหน่อย…”

ดวงตาของหลงเย่เริ่มแดงก่ำ หัวใจนางสั่นไหวอย่างยากจะควบคุม

นางปั้นคำโกหกนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อหลอกใช้กงจื่อโยวให้นางได้บรรลุเป้าหมายตัวเอง แต่เขากลับยินดีทำทุกอย่างโดยไม่ลังเล

นางคิดว่าคงเป็นเพราะกงจื่อโยวโง่เขลา แต่เขากลับรู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง

ทุกความรู้สึกปวดใจ กังวล เป็นห่วงของอีกฝ่ายล้วนเป็น…ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่เกี่ยวกับการถูกหลอกสักนิด ดังนั้นในตอนอ่านใจนางจึงไม่เคยได้ยินคำโกหกเลยสักคำ

กงจื่อโยวไม่เคยคิดถึงเรื่องที่หลงเย่หลอกตน เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เขาสนใจเพียงแค่จะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้หลงเย่บรรลุเป้าหมายของนางให้เร็วที่สุด

ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนแพร่กระจายไปทั่วอกของหลงเย่

นางมีหัวใจที่ขุ่นมัว แต่เมื่อได้พบคนที่ทั้งซื่อตรงและไร้เดียงสาอย่างเขา นางจึงพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

กงจื่อโยวเห็นแววตาที่อ่อนลงของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “หลงเอ๋อร์ แต่งงานกับข้าได้ไหม?”

“ข้าไม่อยากเป็นสามีภรรยาปลอมๆกับเจ้า ข้าอยากอยู่เคียงข้างเจ้าไปตลอดชีวิต…ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนอายุสั้นแล้ว ไม่มีทางให้เจ้าต้องเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อยแน่นอน”

“หลังข้ารับช่วงสำนักทิงเสวี่ยต่อ ภายในสำนักก็เลิกรับเงินรางวัลพวกนั้นไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้ามีตัวตนที่ใสสะอาดและสามารถใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยในโลกได้แล้ว และเจ้าก็หลุดพ้นจากกรงขังของแคว้นถังใต้แล้ว…”

กงจื่อโยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยอมเล่าเรื่องที่สาวกประกาศิตป้ายแดงเคยลอบสังหารหลิวฉิง

“ที่ข้ามาวันนี้ก็มาเพื่อแบกไม้รับโทษกับเจ้า!”

หลงเย่หัวเราะเบาๆ และบอกกับเขา “เรื่องของเอ้อร์หลีว์ข้ารู้มาตั้งนานนมแล้ว น้องสามก็เขียนชัดเจนบนจดหมาย เรื่องนี้ถือว่ามันผ่านไปแล้ว”

กงจื่อโยวอ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็แทบจะกระโดดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์

“ว่าอย่างไรนะ? ข้านอนพลิกไปพลิกมาไม่หลับทั้งคืนเพราะเรื่องนี้ คำพูดของเจ้าพวกนั้นเชื่อไม่ได้จริงๆ!”

ในทางเดินที่ไม่ไกล เซียวปี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวหัวเราะ

“แบกไม้ขนไก่ทองมาขอรับโทษถึงที่ ข้าเห็นเขาคนแรกจริงๆ”

เสวียนจีก็ลอบหัวเราะคิกคัก “ฮ่าๆๆ ทั้งโง่ทั้งบื้อจริงๆ!”

หลังกงจื่อโยวระบายความไม่พอใจเสร็จ ก็ยกมือขึ้นกุมไหล่หลงเย่อีกครั้ง “เมื่อครู่ไม่นับ มาเริ่มใหม่กันเถอะ!”

ขณะพูด แก้มสองข้างของเขาก็แดงขึ้น กะพริบตาปริบๆพร้อมจะจูบนางตรงหน้า

ทว่ากลับโดนหลงเย่ดันออก พร้อมหันไปมองที่ทางเดิน “พอแล้ว คู่รักที่ไหนจะแบกไม้ขนไก่ไว้บนหลังตอนจูบกันล่ะ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดกับน้องสามอีก หากท่านไม่มีอะไรแล้วก็ไปพักเถิด”

ว่าจบนางก็เดินจากไป เหลือเพียงกงจื่อโยวที่หน้าบูดบึ้ง

ไม่นานเขาก็คว้าเอาของที่อยู่บนหลังขว้างลงบนพื้น พร้อมใช้เท้าย่ำด้วยความโกรธ

“ไอ้ไม้ขนไก่ที่สมควรตาย!”

ทำเขาเสียเรื่องจริงๆ!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ