พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 603

พวกเขาสองคนเดินเข้าลานฝึกของสำนักศึกษาไม่นาน เหล่าบัณฑิตก็วิ่งไปหลายรอบแล้ว

“ดูสิ รัชทายาทกับพระชายาเสด็จมา”

ไม่รู้ผู้ใดเป็นคนเกริ่นก่อน พวกเขาเริ่มตื่นเต้น จากนั้นหาวด้วยความง่วงซึมก็เริ่มกระฉับกระเฉง ทั้งยังวิ่งเร็วกว่าเดิม

ตรงศูนย์ฝึกกำลังถือนาฬิกาพกจับเวลา แนวทางการฝึกกำหนดว่าต้องวิ่งอุ่นร่างกายยามเช้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกวัน

เขากับเย่อีเป็นองครักษ์ ทว่าหลังจากก่อตั้งสำนักศึกษาชิงอี้ ที่นี่ขาดอาจารย์สอนบูจินกัน พวกเขาในฐานะลูกน้องคนสนิท จึงถูกเซียวปี้เฉิงส่งมาทำงานในนี้

ยามนี้สำนักศึกษาชิงอี้มีอาจารย์สอนบูจินกันสิบคน ครึ่งหนึ่งเป็นองครักษ์ และมีอาจารย์หญิงสอนด้านนี้คนเดียว โดยรับผิดชอบสอนนักเรียนหญิง

เมื่อเย่ชีเห็นพวกอวิ๋นหลิงก็รีบเดินเข้ามา “นายท่าน”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้า “ช่วงนี้ฝึกเป็นยังไงบ้าง พวกเขารับไหวไหม?”

“เรียนนายท่าน ช่วงแรก ๆ มีคนรับไม่ไหวแล้วเป็นลม แต่ตอนนี้เริ่มปรับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่เลว ทำแบบนี้ต่อไป บัณฑิตสำนักศึกษาชิงอี้ต้องเพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น หากแค่นี้ยังทำไม่ได้ อนาคตจะเป็นเสาหลักของบ้านเมืองได้อย่างไร?”

ในสายตาเขา การฝึกซ้อมแบบนี้ไม่ได้โหดเลย เทียบไม่ได้กับวิธีฝึกทหารในค่าย

เมื่อก่อนยามฝึกซ้อมทหาร ต้องตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ฟ้ายังไม่สว่าง และเลิกตอนยามจื่อ ตอนค่ำ

อวิ๋นหลิงถามด้วยความสงสัย “ผู้ใดทนไม่ไหวจนเป็นลม?”

“หลานชายของอาลักษณ์กรมอาญา นามว่าหลิ่วหลันสวิน ฝึกวันแรกก็หมดสติครึ่งวัน พอวันที่สองบอกว่าเมื่อยขาเดินไม่ไหว พักต่ออีกครึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ”

เย่ชีชี้บริเวณที่ไกลออกไป เห็นเพียงชายหนุ่มวิ่งหายใจหอบเหนื่อย คนอื่นล้วนหน้าแดงก่ำ แต่เขากลับหน้าซีด วิ่งแถวหลัง ทั้งยังห่างจากคนอื่นมาก

อวิ๋นหลิงเลิกคิ้ว นางคิดว่าสตรียุคนี้ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ร่างกายปรับไม่ทันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทว่าไม่คิดว่าจะเป็นบุรุษเพศ

ทว่าเมื่อได้ยินชื่อแล้วนางก็เข้าใจ

น้องหลิ่วไม่ได้ป่วยเป็นโรคถึงเป็นเยี่ยงนี้ หากแต่เป็นเพราะทางบ้านเลี้ยงดีจนเกินไปต่างหาก

อาลักษณ์กรมอาญาเก่าไหว้วานให้นางฝึกฝนคนบอบบางอ่อนแอดีๆ

เย่ชีพูดต่อไปว่า “บ่าวทำตามคำสั่งของนายท่าน หากไม่ป่วยก็จะไม่อนุญาตให้หยุดพัก ดังนั้นจึงบังคับให้คุณชายน้อยหลิ่วลงฝึกด้วย หลายวันต่อมา แม้เขาจะวิ่งช้าไม่ทันคนอื่น แต่ก็สามารถวิ่งได้ครึ่งชั่วโมงพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าทำถูกแล้ว” อวิ๋นหลิงเห็นดีเห็นงามด้วย ถามต่อว่า “เจ้าคิดว่าผู้ใดทำได้ดีที่สุด?”

เย่ชีครุ่นคิดอย่างจริงจัง “คงจะเป็นคุณชายกู้ฮั่นม่อ ไม่ว่าการฝึกจะลำบากเพียงใด เขาก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย และวิธีการฝึกพิเศษในค่ายทหาร เขาก็สามารถจับเทคนิคได้อย่างรวดเร็ว ถ้ายึดตามมาตรฐานของค่ายทหาร ถึงเขายังไม่ถึงขั้นดีเยี่ยม แต่ก็ถือว่าผ่านพ่ะย่ะค่ะ”

การฝึกพิเศษที่ว่าคือคู่มือการฝึกซ้อมที่อวิ๋นหลิงเขียนให้เซียวปี้เฉิงก่อนหน้านี้ ในนั้นมีทั้งการดึงข้อ ซิทอัพเป็นต้น

เย่ชีนับถือท่าทีของกู้ฮั่นม่อ เขาไม่นึกเลยว่าบัณฑิตที่สุภาพเรียบร้อยจะทำได้ถึงขั้นนี้

ตอนเขาเดินลาดตระเวนเรือนพักบัณฑิตตอนกลางคืน เขายังเคยเห็นกู้ฮั่นม่อที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีกล้ามเป็นมัด ๆ

อวิ๋นหลิงรู้สึกรื่นรมย์ใจเหมือนเก็บของล้ำค่าได้

นางกระซิบบอกเซียวปี้เฉิงว่า “เป็นเหมือนพี่ใหญ่ท่าน รุ่ยอ๋องแบบพลัส”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ