พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 666

หลังจากที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ในวังก็ส่งรถม้ามารับหลี่เมิ่งเอ๋อร์เข้าไปในพระราชวัง

มองเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ พระราชวังที่มีกำแพงสีแดงกระเบื้องสีเขียว ในใจหลี่เมิ่งเอ๋อร์ก็รู้สึกต่อต้านอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผสมกับความไม่พอใจเล็กน้อย

ทุกครั้งที่เข้าวัง นางก็ไม่เคยเจอเรื่องดีงามเลย ราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่ถูกกับนาง

อวิ๋นหลิงกับสามีไม่อยากเจอห่านหัวโตตัวนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะจะส่งผลกับอารมณ์ จึงจัดอีกฝ่ายให้อยู่ในวังที่ว่างเปล่าทันที และมอบหมายให้แม่นมผู้เฒ่าสองสามคนไปสอนมารยาทให้อีกฝ่าย

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้พบกัน แต่อวิ๋นหลิงก็ส่งคนไปจับตาดูหลี่เมิ่งเอ๋อร์ และติดตามทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

“ห่านหัวโตคงรู้จุดประสงค์ที่นางเข้าวังมาแล้ว ข้าคิดว่านางเป็นคนหยิ่งยโสจะไม่ยอมลงเอยเช่นนี้”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นก็จริง นางอาจมีแผนลับอะไรบางอย่าง ให้คนอื่นจับตาดูนางไว้จะดีกว่า”

อีกฝ่ายจะอยู่ในวังจนกว่าจะแต่งงานอย่างเป็นทางการ ใครจะล่วงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จึงต้องเฝ้าระวังไว้

นางกำนัลที่ปรนนิบัติจะมารายงานสถานการณ์ที่ตำหนักบูรพาทุกคืน หลายวันนี้นางก็ทำตัวตามปกติ

“แม่นางหลี่ค่อนข้างเงียบ เป็นมิตรและเข้ากับพวกบ่าวได้ดี ไม่เอาแต่ใจและปรนนิบัติยากอย่างที่ข่าวลือพูดถึงเลย”

อวิ๋นหลิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “หรือว่าอยู่วัดหานซานสองเดือน จะบรรลุไปแล้วหรือ”

นางกำนัลครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “แต่พูดแล้วก็มีเรื่องชวนให้ปวดหัวอยู่เหมือนกัน นั่นคือแม่นางหลี่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร หากห้องครัวทำอาหารมันเยิ้มจะท้องไส้ปั่นป่วน”

หากมีปลาอยู่บนโต๊ะ หลี่เมิ่งเอ๋อร์จะไม่แตะเลย นางชอบมะเขือเทศรสหวานอมเปรี้ยวเหลือแสน

นั่นเป็นพันธุ์ที่อวิ๋นหลิงเคยปลูกและปรับปรุงพันธุ์มาก่อน ขอเพียงอากาศไม่ร้อนหรือหนาวเกินไปก็จะปลูกได้ตลอดทั้งปี

พระเจ้าหลวงชอบกินผลไม้สีแดงนี้ ทางห้องเครื่องหลวงจึงจ้างชาวบ้านมาปลูก ตอนนี้เป็นอาหารบนโต๊ะเสวยที่พบได้ทั่วไปในพระราชวัง

เซียวปี้เฉิงฟังแล้วก็พึมพำว่า “คงจะไม่ใช่เพราะกินเจในวัดมากเกินไปกระมัง”

ฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่อวิ๋นหลิงมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ด้วยชาติกำเนิดของหลี่เมิ่งเอ๋อร์ จะคุ้นเคยกับอาหารเจและข่มกลั้นอาหารหรูหราราคาแพงอันโอชะไปได้อย่างไร

“ยามปกตินางทำอะไร แล้วพูดคุยอะไรกับพวกเจ้าบ้าง”

นางกำนัลตอบอย่างพาซื่อ “โดยทั่วไปแล้วในวังจะฝึกบรรเลงพิณและงานเย็บปักถักร้อย แต่สองวันนี้แม่นางหลี่เอาแต่ถามถึงองค์ชายหก บอกว่านางไม่เก่งงานเย็บปักถักร้อย คิดจะหาโอกาสไปขอคำแนะนำกับองค์ชายหกสักหน่อย”

ได้ยินเช่นนี้ เซียวปี้เฉิงก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน เขาโบกมือให้นางกำนัลออกไป และกระซิบกับอวิ๋นหลิง

“ห่านตัวนี้ผิดปกติไปมาก นางเคยดูถูกน้องหกมาก่อน ตอนเข้าวังมาก็ไม่เล่นกับน้องหกเลย ซ้ำยังพูดจาเยาะเย้ยว่าเขาเป็นหนุ่มตุ้งติ้ง”

ดังคำกล่าวที่ว่าเรื่องผิดปกติจะต้องมีอะไรแปลกๆ แน่นอน

ทั้งคู่ขบคิดก็รู้สึกว่าหลี่เมิ่งเอ๋อร์สงบเสงี่ยมเจียมตัวนั้นดูเหลวไหล ราวกับกำลังวางแผนการครั้งใหญ่ไว้ ก็ให้คนจับตาดูอย่างใกล้ชิดมากขึ้นอย่างอดมิได้

ยามเย็นโพล้เพล้ เซียวปี้เฉิงฝึกพลังจิตในสวนหลวงตามปกติ

หากไม่มีงานอื่นมาประวิงเวลา เขาจะฝึกหอกทุกเช้า และนั่งสมาธิทุกคืน

บัดนี้ระยะการตรวจจับพลังจิตของเขาไปไกลมากขึ้น ตำหนักหลิวอวิ๋นที่หลี่เมิ่งเอ๋อร์พำนักอยู่ก็เกือบจะรวมอยู่ในนั้นด้วย

เขาลองปล่อยพลังจิตเข้าไปยังตำหนักหลิวอวิ๋น ตั้งใจจะฟังเรื่องซุบซิบหลังอาหารเย็นในยามราตรีจนติดเป็นนิสัย

แต่ทว่าการตรวจสอบนี้กลับทำให้เซียวปี้เฉิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาโพลง รีบกลับไปที่ตำหนัก

“หลิงเอ๋อร์ นอกจากตั้งครรภ์แล้ว จะสัมผัสถึงสัญญาณชีพสองชีวิตในร่างกายคนคนเดียวกันได้หรือไม่”

อวิ๋นหลิงกำลังดูสมุดบัญชีและนับเงิน ฟังแล้วก็ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ปกติไม่มีเรื่องเช่นนั้น เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้ล่ะ”

เฉพาะคนตั้งครรภ์เท่านั้นที่ในร่างกายจะมีสัญญาณชีพหลายอย่าง หากตั้งครรภ์แฝดหลายคน ก็จะไม่ใช่แค่สองสัญญาณ

จู่ๆ สีหน้าของเซียวปี้เฉิงก็แปลกไป “...ข้าเพิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในทิศทางของตำหนักหลิวอวิ๋น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ