รุ่ยอ๋องเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย “เจ้าห้า วันนี้เรามาเยี่ยมเจ้าสามนะ เจ้าก็เพลา ๆ ลงบ้างเถอะ!”
ดูเหมือนบุคคลผู้นี้จะเป็นองค์ชายห้าที่มีข่าวลือว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ แต่ภายหลังกลับไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิเนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับสาวใช้ในวัง
องค์ชายห้ายิ้มขึ้น ยักไหล่อย่างเมินเฉย “พี่ใหญ่ก็กล่าวเกินไป ข้าแค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ทำอันใดเสียหน่อย สาวใช้ในวังของข้าสวยกว่านี้มาก ท่านเห็นด้วยหรือไม่พี่รอง”
ได้ยินเช่นนั้น เสียนอ๋องและพระชายาซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าก็หยุดลง
จู่ ๆ เจ้าชายผู้ทรงคุณธรรมก็ถูกเรียก เขายังคงตกตะลึงอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะหันกลับมา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เรียบง่ายและจริงใจ
“น้อง...ห้า...เรียก...ข้าหรือ”
“ใช่แล้วพี่รอง สาวใช้ในจวนของข้าสวยกว่าสาวใช้ในจวนของพี่สามใช่หรือไม่”
เสียนอ๋องผงกศีรษะอย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นจึงค่อย ๆ กล่าวว่า “แต่... อาชิ่น...คือ...ผู้ที่...งดงามที่สุด”
ตั้งแต่ตกจากที่สูงตอนอายุสิบสองปี เขาก็กลายเป็นผู้พิการทางสมอง เขาพูดแต่ละคำอย่างช้า ๆ
สิ่งเดียวที่สามารถพูดได้อย่างลื่นไหล ก็มีเพียงชื่อของพระชายาเสียนอ๋อง
พระชายาเสียนอ๋องไม่เคยรังเกียจที่เขาเป็นคนพิการเลยแม้แต่น้อย นางเพียงจ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังไปที่องค์ชายห้า เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของเขา
องค์ชายห้าก็หาได้สนใจไม่ เพียงพึมพำกับตัวเองพลางลูบคางไปด้วย “พูดก็พูดเถอะ เหตุใดภายในจวนของพี่สามถึงได้มีองครักษ์มากถึงเพียงนี้ ทว่าสาวใช้กลับน้อยนิด อีกทั้งสาวใช้ที่งดงามยิ่งมีน้อยลงไปอีก หรือว่าจะเป็นคำสั่งของอาซ้อสาม”
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับชิวซวง เซียวปี้เฉิงก็ได้จัดระเบียบจวนจิ้งอ๋องใหม่ทั้งหมด สาวใช้ที่มีรูปร่างหน้าตางดงามได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่ด้านนอกเรือน
ความหมายเบื้องหลังคำพูดขององค์ชายห้าคืออวิ๋นหลิงนั้นเป็นคนขี้อิจฉา รุ่ยอ๋องขมวดคิ้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อาซ้อสามของเจ้าไม่ใช่คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเท่าใดนัก ระวังนางจะได้ยินเจ้า มิฉะนั้นเจ้าก็อาจมีปัญหาตามมาได้”
องค์ชายห้ามองรุ่ยอ๋องด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินพี่ชายผู้ใจดีพูดถึงสตรีในลักษณะนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่อวิ๋นหลิงเป็นคนที่หลงรักพี่ใหญ่มาหลายปี อีกทั้งเอาใจใส่เขามากไม่ใช่หรืออย่างไร
ด้วยเหตุผลบางประการ เขากลับรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจอยู่บางส่วนในน้ำเสียงของรุ่ยอ๋อง...
ตลอดการสนทนา ชายหนุ่มอีกคนในเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูอ่อนกว่าวัยเพียงเดินตามหลังรุ่ยอ๋องไปติด ๆ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่ได้กล่าววาจาอะไรเลย ราวกับว่าเป็นคนที่ไม่รับรู้สิ่งรอบข้างอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นหลิงมีพลังจิตที่กล้าแกร่ง ด้วยประสาทสัมผัสทางการมองเห็นและการได้ยินที่เหนือกว่าคนธรรมดา ทุกคำพูดของรุ่ยอ๋องจึงไปถึงหูนาง ทำให้นางรู้สึกขบขันยิ่งนัก
นางได้ยินเสียงหัวเราะที่อดกลั้นไว้ของเซียวปี้เฉิง “หลังจากเหตุการณ์ที่เรือนซู่สือครั้งก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้พี่ใหญ่จะกลัวเจ้ามากเลยนะ”
รุ่ยอ๋องมีใบหน้าที่บางเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังโต้เถียงกับผู้คนไม่เก่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นหลิงผู้ดื้อรั้นและเจ้าปัญหา เขาก็ไม่มีทางจัดการกับนางได้เลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นหลิงเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาแสดงความประหลาดใจ “ท่านได้ยินด้วยหรือ”
เซียวปี้เฉิงผงะ หยุดนิ่งไปชั่วครู่ “ได้ยินอะไรหรือ”
ระยะห่างระหว่างห้องนี้กับเรือนด้านนอกประมาณสิบห้าหรือสิบหกเมตร อีกทั้งรุ่ยอ๋องยังจงใจลดเสียงลงเมื่อพูด ทำให้คนธรรมดาไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน
ก่อนที่อวิ๋นหลิงจะตอบ รุ่ยอ๋องและคนอื่น ๆ ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว
องค์ชายห้าก้าวข้ามธรณีประตู เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลัง “พี่สาม ! น้องหกและข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
ใบหน้าซีดสาวของเซียวปี้เฉิงดูค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่การแสดงออกของเขายังคงแน่วแน่เช่นเคย
“ตอนนี้ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด เจ้าไม่ต้องกังวล”
รุ่ยอ๋องจงใจหลีกเลี่ยงการสบตากับอวิ๋นหลิง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เจ้าสบายดีก็ดีแล้ว”
อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน แม้ว่าพวกเขาจะเคยทะเลาะกันมาก่อนเพราะเรื่องของอวิ๋นหลิงและฉู่อวิ๋นหาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเสียหาย
“คารวะ อาซ้อสาม”
องค์ชายห้าก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับ ขณะที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินที่อยู่เบื้องหลังรุ่ยอ๋องก็มองไปที่อวิ๋นหลิงเช่นกัน เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เขินอายเล็กน้อย
“คารวะ อาซ้อสาม”
อวิ๋นหลิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินผู้ไร้ตัวตนคนนี้ ก็คือองค์ชายหกผู้ไม่เคยได้รับความสนใจใด ๆ นั่นเอง
เซียวปี้เฉิงเคยบอกนางก่อนหน้านี้ว่านิสัยองค์ชายหกนั้นคล้ายกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเขา เขาเป็นคนจิตใจดีและอ่อนโยนโดยธรรมชาติ แต่ก็ขี้อายเช่นกัน เขาไม่เด็ดขาดในคำพูดและการกระทำ เลยไม่เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิจาวเหรินเท่าใดนัก
ในทางกลับกัน เสียนอ๋องมีรูปลักษณ์ที่สูงส่ง มีคิ้วและดวงตาคล้ายกับเซียวปี้เฉิง อย่างไรก็ตาม เขาดูโง่เขลาเล็กน้อย เหมือนเด็กน้อยที่สามารถถูกหลอกอย่างง่ายดายด้วยขนมเพียงสองชิ้น
พระชายาเสียนอ๋องเป็นลูกสาวของขุนนางบู๊ ด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของสตรีในแคว้นต้าโจว นางดูเป็นสตรีที่มีชีวิตชีวา แต่ก็แฝงไปด้วยความไร้เดียงสาอยู่บางส่วน
อวิ๋นหลิงคิดในใจเงียบ ๆ ว่าทั้งคู่ดูเข้ากันได้ดีจริงๆ
“ไม่ต้องสุภาพถึงเพียงนั้น นั่งลงก่อนเถิด ข้าจะให้สาวใช้เตรียมอาหารว่างให้”
องค์ชายห้าจ้องมองไปยังอวิ๋นหลิง แววตาไม่สามารถซ่อนความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้
เขายังไม่ได้รับศักดินาเป็นเจ้าเมือง ดังนั้นจึงมักอาศัยอยู่แต่ในวังและไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก
ระหว่างงานอภิเษกสมรสที่เร่งรีบของอวิ๋นหลิงและเซียวปี้เฉิง ประกอบกับเรื่องที่ไม่น่าดูเท่าใดนักระหว่างคนทั้งสอง นอกจากเยี่ยนอ๋องแล้ว ก็ไม่มีองค์ชายคนอื่นเข้าร่วมเลย
ความประทับใจของเขาที่มีต่ออวิ๋นหลิงล้วนมาจากข่าวลือตามท้องถนนและเสียงนินทาจากสาวใช้ในวัง
เขาเคยได้ยินมาว่านางมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก นิสัยชั่วร้ายราวกับปีศาจในร่างมนุษย์...
ยังเคยได้ยินว่านางเป็นศิษย์ของยอดฝีมือที่ไม่สนใจโลกภายนอกผู้มีทักษะทางการแพทย์ที่เหนือชั้นกว่าหลินซินเสียอีก...
แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือใด ก็ล้วนกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขา แม้แต่องค์ชายหกที่มักจะขี้อายก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองอวิ๋นหลิง
องค์ชายห้ารู้สึกราวกับนางกำลังสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ แม้จะไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางน่าชิงชังมากเพียงใด แต่รูปร่างและบรรยากาศรอบตัวนางก็ให้ความรู้สึกถึงความงดงามที่ยากเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้
เซียวปีเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่พอใจกับท่าทางครุ่นคิดอย่างไม่สะทกสะท้านขององค์ชายห้า
เขากระแอมในลำคอ ถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า “เหตุใดวันนี้พวกเจ้าถึงมาด้วยกันหมดล่ะ”
รุ่ยอ๋องอธิบาย “เป็นเพราะน้องสองได้ยินว่าข้าจะมาเยี่ยมเจ้า เลยเสนอให้พาเจ้าห้ากับเจ้าหกมาด้วย”
ขณะที่พูดจบ พระชายาเสียนอ๋องก็กล่าวแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “จั่งซวี่ได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บเลยเป็นห่วง เขายืนกรานที่จะมาเยี่ยมเจ้าให้ได้ เขาจะได้สบายใจ”
รอยยิ้มของนางไม่ได้เย็นชา แต่ก็ไม่ถือว่าอบอุ่นเช่นกัน อวิ๋นหลิงสัมผัสได้ว่าพระชายาเสียนอ๋องดูเหมือนจะไม่ได้อยากมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามากนัก
เสียนอ๋องมีปฏิกิริยาที่ช้าเล็กน้อย ทว่าก็ยิ้มขึ้นอย่างจริงใจ “น้อง... สาม... ไม่เป็น... อะไร... ข้า... ก็... สบายใจ”
แต่ละคนผลัดกันพูดแสดงความเป็นห่วง อวิ๋นหลิงแทรกด้วยคำพูดเป็นครั้งเป็นคราว นางแอบรวบรวมพลังจิตอย่างลับๆ รับรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ
สัมผัสของนางทำให้ตัวเองต้องประหลาดใจ นางชำเลืองมองไปยังเสียนอ๋อง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนมารวมตัวกันเพื่อแสดงความเป็นห่วงต่อเซียวปี้เฉิง องค์ชายหกจึงรู้สึกอึดอัดใจหากนิ่งเงียบตลอดเวลาเช่นนี้ เขาถามขึ้นอย่างแผ่วเบา
“พี่สาม ตาของท่านดีขึ้นแล้วหรือไม่ ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นแล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่ข้าเห็นท่านในวังครั้งก่อน”
รอยยิ้มของเซียวปี้เฉิงแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะตอบว่า “แม้ว่าข้าจะยังมองเห็นไม่ชัดเ แต่ก็ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ข้าเชื่อว่าคงอีกไม่นานก่อนที่จะฟื้นตัวเป็นปกติ”
ในบรรดาผู้มาเยือน เขาเป็นคนแรกที่ถามเรื่องดวงตาของเซียวปี้เฉิงเช่นนี้ ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของเซียวปี้เฉิง แต่มันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
องค์ชายหกพยักหน้าตอบ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมาจากส่วนลึกของหัวใจ
“เมื่อตาของท่านเป็นปกติเมื่อใด เสด็จพ่อจะดีใจมาก นี่ล้วนต้องขอบคุณทักษะทางการแพทย์อันน่าทึ่งของอาซ้อสาม”
“น้อง... สาม... ช่าง... เก่งกาจ ! ”
“อาชั่น... กล่าวว่า... เจ้า... เอาชนะ... ยอด…ฝีมือ... ผู้มี... วรยุทธ... กล้าแกร่ง... ของ…ยุทธภพ”
ใบหน้าที่จริงใจของเสียนอ๋องแสดงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง เขาพูดอย่างช้า ๆ
“ถ้า... ข้า... เก่งกาจ... เหมือน... เจ้า... ก็... ดี...สิ”
“ถ้า...พบเจอ…อันตราย...ก็...สามารถ...ปกป้อง...อาชั่นได้ ! ”
ในที่สุดเสียนอ๋องก็สามารถพูดประโยคทั้งหมดได้สำเร็จ อวิ๋นหลิงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกอย่างเงียบ ๆ
เมื่อฟังเสียนอ๋องพูด นางก็รู้สึกราวกับว่าตนเองไม่สามารถหายใจได้
พระชายาเสียนอ๋องมองไปที่สามีของนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเคย แต่ดวงตาของนางก็อ่อนลงอยู่หลายส่วน
สายตาของอวิ๋นหลิงจ้องมองไปยังเสียนอ๋องและองค์ชายหก คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดสายตาก็จับจ้องไปที่องค์ชายห้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...
ขอบคุณน้าค้า ที่ลงทุกวันเลยสนุกมากค่ะ...
ชอบมากเลยค่ะ นางเอกเก่ง❤...
สนุกมากค่ะ...
5555555 ตลก พ่อพระเอก...
สะใจนางเอกทันตลอด ชอบค่ะ...
I awaiting your update new chapter...
ตบได้ดี ฮ่าๆๆ สนุกๆๆ...