พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 76

“ส่วนองค์ชายหกนั้น ทุกอย่างของเขาปกติดี อยู่ในระดับของคนปกติ”

พูดจบ อวิ๋นหลิงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ น้ำเสียงปนหยอกล้อ

“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น พลังจิตขั้นว่องไวขององค์ชายหกก็ยังอยู่เหนือรุ่ยอ๋องอยู่ดี แสดงว่าจิตเขาแข็งแกร่งกว่ารุ่ยอ๋อง”

หรือจะกล่าวได้ว่า นิสัยขององค์ชายหกไม่ได้ขี้ขลาดอ่อนแออย่างที่เห็นกัน

เซียวปี้เฉิงเข้าใจในความหมายแฝง รู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจเพราะความหึงหวงถูกความประหลาดใจแทนที่

“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า ในหมู่พวกเขา คนที่จิตใจใสซื่อสุดคือพี่ใหญ่งั้นหรือ?”

อวิ๋นหลิงพูดอย่างไม่เกรงใจ “ไม่เช่นนั้นจะถูกฉู่อวิ๋นหานปั่นจนหัวปักหัวปำหรือ ก็เพราะโง่อย่างไรล่ะ”

เมื่อกี้ในหมู่คนมากมาย รุ่ยอ๋องมีพลังจิตขั้นว่องไวต่ำที่สุด คนแบบนี้เหมาะจะเป็นฮ่องเต้ก็แปลก

เซียวปี้เฉิงได้ยินประโยคนี้ มุมปากกระตุก รู้สึกผิดเล็กน้อย

“……นิสัยพี่ใหญ่อ่อนไปหน่อยก็จริง แต่ข้าไม่คิดเลยว่า เขายังสู้เสียนเฟยไม่ได้”

“ใครสั่งให้ฮองเฮาปกป้องเขาอย่างดอกไม้ในเรือนกระจกกันล่ะ ไม่เคยถูกลมฝนพายุใดใดทั้งนั้น”

อวิ๋นหลิงดูแคลนรุ่ยอ๋องเสร็จเห็นเซียวปี้เฉิงดูอ่อนล้า นางขมวดคิ้ว

“ทำไมสีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีนัก?”

ใบหน้าเซียวปี้เฉิงแสดงความง่วงออกมา “ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงนี้ข้ารู้สึกเพลียเหลือเกิน นอนเท่าไหร่ก็นอนไม่พอ”

พูดจบเซียวปี้เฉิงก็สงสัยในใจ เมื่อคราอยู่ในสมรภูมิชายแดน เขาสามารถสู้รบไม่หลับไม่นอนได้สองสามวันรวด หรือเป็นเพราะสองปีในจวนอ๋องนี้ปล่อยตัวมากเกินจนเป็นโรคผู้ดีแล้ว

ง่วงหนาวหาวนอน?

เมื่อนึกย้อนถึงตอนที่เซียวปี้เฉิงอยู่ในห้อง แล้วได้ยินเสียงพึมพำของรุ่ยอ๋องในสวนมาแต่ไกล ในใจอวิ๋นหลิงสั่นไหวจนแอบคาดเดาบางอย่าง

“ท่านอ๋อง ช่วงนี้ท่านรู้สึกไหมว่า ทักษะการมองเห็นและการได้ยินของท่านอ่อนไหวมากกว่าปกติ”

เซียวปี้เฉิงผงะไป ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปชั่วครู่ “เมื่อเจ้าทักข้าก็มีความรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น”

เมื่อเหล่านกกาในสวนกระพือปีกโผบิน มักจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหาจับตัวได้ยาก แต่บัดนี้เขากลับมองเห็นพวกมันได้ง่ายๆ

เวลาเข้านอนกลางดึก เขาได้ยินเสียงน้ำฝนหยดลงกระทบหลังคากระเบื้องอย่างชัดเจน

อวิ๋นหลิงตกใจ อย่าบอกนะว่าเป็นอาการล่วงหน้าของการตื่นตัวของพลังจิตขั้นว่องไว?

เพื่อทดสอบความคิดที่เหลือเชื่อนี้ อวิ๋นหลิงหยิบหินอุกกาบาตสีแดงสดแวววาวออกมา

“ท่านอ๋อง จากนี้ไปท่านลองทำตามที่ข้าบอก จำรูปร่างของหินนี้เข้าไว้ จากนั้นหลับตาลงโดยคิดภาพถอดแบบมันเอาไว้ในหัว”

แม้จะไม่เข้าใจ แต่เซียวปี้เฉิงก็ทำตามที่นางบอก

อวิ๋นหลิงค่อยๆชักจูงเขาเข้าสู่ภาวะนึกคิด และตัวนางเองก็สร้างสัมพันธ์กับหินอุกกาบาตนี้

เซียวปี้เฉิงหลับตาลง ในหัวพยายามคิดภาพหินสีแดงสด สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เดิมทีเขาจำรูปร่างหินนี้ได้แค่เพียงเลือนรางเท่านั้น แต่เมื่อเขายิ่งนึก รูปร่างหินก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ผ่านไปไม่นาน เขากลับถอดแบบรูปร่าง ความโปร่งแสงของหินก้อนนี้ได้ทุกอณู!

เซียวปี้เฉิงตกตะลึงใจ หลังตกใจไปชั่วครู่ ภาพหินในหัวกลับกลายเป็นเพียงก้อนมัวสีแดง นึกภาพรูปร่างเดิมของมันไม่ออกอีกต่อไป

เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นอวิ๋นหลิงจ้องเขาตาเป็นประกาย

เซียวปี้เฉิงถูกจ้องจนรู้สึกขนลุก “มีอะไรหรือ?”

อวิ๋นหลิงพยายามข่มความตื่นเต้นในใจ แม้เมื่อครู่จะมีเพียงชั่วแวบเดียว แต่นางจับพลังจิตอันเบาบางและประหลาดบนหินอุกกาบาตก้อนนั้นได้อย่างชัดเจน

นั่นคือพลังน้อยนิดอันแรกเริ่มของเซียวปี้เฉิง!

นางเลียริมฝีปากเล็กน้อย น้ำเสียงปนความตื่นเต้นที่กดไว้ไม่มิด “ท่านอ๋อง วันหลังท่านไม่ต้องกลับไปอยู่เรือนซู่ซือแล้ว พักอยู่ที่เรือนข้าเถอะ”

ความสุขมาเร็วเกินไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เซียวปี้เฉิงหน้าเหวอ “เจ้าพูดอะไรนะ?”

เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?

เซียวปี้เฉิงยังไม่ทันดีใจ อวิ๋นหลิงก็พูดอย่างตื่นเต้น “แม้จะยังไม่รู้สาเหตุ แต่เมื่อครู่ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าพลังจิตของท่านอ๋องกำลังเริ่มปรากฏขึ้น”

ในยุคสมัยนี้ไม่สามารถคิดค้นยาเปิดผนึกพลังจิตออกมาได้ ไม่แน่นางอาจใช้หินอุกกาบาตวิเศษนี้ช่วยให้เซียวปี้เฉิงตื่นรู้ได้

เมื่อเซียวปี้เฉิงได้สติกลับมา ดวงตาเขาเบิกโพลง ความอ่อนล้าบนใบหน้าหายสิ้น

“พลังจิต? เจ้ากำลังบอกว่าข้ามีพลังมารงั้นรึ?”

อะไรกัน เขาไม่ใช่คนหรอกรึ?

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นหลิงชะงักไป สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ปิดบังต่อไป

นางครุ่นคิดไปสักครู่แล้วเอ่ยเสียงเบา “นี่ไม่ใช่พลังมาร……ท่านอยากรู้ที่มาของข้ามาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?”

ได้ยินแบบนี้เซียวปี้เฉิงหน้านิ่งไป สายตาจ้องอยู่กับอวิ๋นหลิงไม่ไปไหน ในใจสั่นไหวเล็กน้อย

“เจ้า……ยอมบอกข้าแล้วหรือ?”

เขารู้มาโดยตลอดว่าอวิ๋นหลิงยังไม่เชื่อใจเขา มีหลายเรื่องที่นางไม่ได้พูดความจริง ทุกครั้งที่ถามลองเชิงไป อีกฝ่ายเลี่ยงไม่ตอบทุกครั้ง

อวิ๋นหลิงพยักหน้า เซียวปี้เฉิงหายใจไม่ทั่วท้อง แววตาหม่นลง

“แล้วเจ้าเป็นเทพหรือมารกันแน่?”

“ข้าไม่ได้เป็นเทพหรือมาร แต่เป็นคนจากโลกอื่น เมื่อตายไป วิญญาณจึงมาสถิตอยู่ในร่างนี้”

มนุษย์โลกอื่น

เซียวปี้เฉิงหรี่ตาลงแล้วถามต่อ “ในเมื่อเจ้าเป็นคน เหตุใดจึงมีพลังที่คนปกติไม่มี?”

“พลังจิตเป็นพลังพิเศษของมนุษย์ ท่านสามารถเข้าใจว่า เป็นทักษะที่ซ่อนอยู่ในสมองส่วนลึก แต่มนุษย์ยังวิวัฒนาการได้แค่เท่านี้ มีน้อยคนนักที่จะตื่นรู้ได้ด้วยตนเอง โดยทั่วไปต้องอาศัยยาใช้กระตุ้นให้ตื่นรู้ และความสำเร็จมีเพียงแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น”

อวิ๋นหลิงพยายามใช้คำที่เซียวปี้เฉิงจะเข้าใจในการอธิบาย

คิ้วเซียวปี้เฉิงขมวดแน่น ไม่เข้าใจ “ในเมื่อต้องใช้ยา แล้วเหตุใดข้าถึงมีพลังนี้ได้ล่ะ?”

นี่ก็เป็นสิ่งที่อวิ๋นหลิงกำลังหาคำตอบ ครุ่นคิดไปชั่วครู่ นางตอบ “ในความทรงจำของข้านั้น ปกติผู้มีพลังจิตต้องอาศัยยาในการตื่นรู้ แต่ว่า….”

“แม้ข้าจะไม่เคยเจอกับผู้ที่ตื่นรู้ด้วยตนเอง แต่ในเอกสารเคยมีรายงานการวิจัยเช่นนี้อยู่”

หรือเซียวปี้เฉิงเป็นพวกที่มีพลังจิตมาแต่กำเนิด คนเหล่านี้เกิดมาจะแตกต่างจากคนอื่นมาก โดยจะมีด้านใดด้านหนึ่งที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น

อายุเขาเพียงแค่ยี่สิบสามปี แต่มีทักษะการใช้หอกเหนือสุดในแผ่นดิน แล้วยังเคยทำสงครามสิบกว่าสมรภูมิ หรือนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาเกิดมาพิเศษกว่าคนอื่น

ผู้ที่มีพลังจิตจากการกำเนิดนั้นหายากมาก ต้องเหมาะสมทั้งร่างกายและจิตใจ คนแบบนี้ต่อให้ไม่ต้องใช้ยาก็สามารถตื่นรู้ได้เองในเวลาเหมาะสม

เซียวปี้เฉิงมีร่างกายที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่กำเนิด และประสบการณ์ในสมรภูมิหลายปีได้ฝึกฝนจิตใจของเข้า

เขาขาดแค่โอกาสอันเหมาะสมในการตื่นรู้ก็เท่านั้น และโอกาสนั้นได้แก่ อวิ๋นหลิง

อวิ๋นหลิงครุ่นคิด “เมื่อครั้งที่ข้ารักษาดวงตาของท่านนั้น ข้าส่งพลังจิตเข้าไปยังในหัวของท่าน คิดไปคิดมาน่าจะเป็นครั้งนั้นแหละที่กระตุ้นสมองของท่านโดยบังเอิญ ส่งผลให้ท่านตื่นรู้ขึ้นมา”

ตอนนั้นนางยังประหลาดใจ คนปกติเมื่อถูกพลังจิตส่งเข้าร่างกายครั้งแรก โดยทั่วไปจะเจ็บปวดทรมานจนสลบไป แต่เซียวปี้เฉิงกลับหายเป็นปกติได้ในระยะเวลาเพียงชั่วเดียว

บัดนี้ ทุกอย่างสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ