พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 774

สรุปบท ตอนที่ 774 โอกาสที่จะได้ปล่อยวางไปโดยสิ้นเชิง: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ

ตอน ตอนที่ 774 โอกาสที่จะได้ปล่อยวางไปโดยสิ้นเชิง จาก พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 774 โอกาสที่จะได้ปล่อยวางไปโดยสิ้นเชิง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนติกโบราณ พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ ที่เขียนโดย Anchali เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

อวิ๋นหลิงถามเขาด้วยความตื่นตระหนก “เสด็จพ่อถึงกับพร่ำพูดคำพวกนี้ เขาไปร่ำเรียนมาจากใคร”

เซียวปี้เฉิงส่ายหน้าด้วยความอับอายจนเหงื่อตก เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่รู้

“...ท่านต้องหาโอกาสบอกเขา เพราะตอนนี้เขาอายุสี่สิบห้าสิบแล้ว คำพูดพวกนี้ไม่ได้เพิ่มเสน่ห์และความหวานซึ้งเลย แต่จะทำให้เขาดูเลี่ยนเสียมากกว่า”

แม้ว่าจักรพรรดิจาวเหรินจะอายุมากแล้ว แต่หน้าตาก็ค่อนข้างหล่อเหลาและสง่างาม

แค่เพียงอวิ๋นหลิงจินตนาการถึงคำพูดหวานหยดย้อยเหล่านี้ที่ออกมาจากปากของเขาอย่างเสน่หา ก็ชวนให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว

แม่นางหลีคงต้องทนทุกข์ทรมาน

เซียวปี้เฉิงก็รู้สึกว่าด้วยอุปนิสัยของแม่นางหลี จะไม่ชอบคำพูดที่หวานไพเราะเพราะพริ้งเช่นนี้ เพราะก็เห็นได้จากสีหน้าท่าทางของนางที่ตอบจดหมายกลับทุกครั้งไป

บิดเบี้ยวหนึ่งส่วน ปวดใจสองส่วน ทำอะไรไม่ถูกสามส่วน และมึนชาสี่ส่วน

“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเลย” เซียวปี้เฉิงส่ายหน้า “เสด็จพ่อยืนกรานจะทำเช่นนี้ ขืนบุ่มบ่ามไปพูดให้เขาเสียกำลังใจ เกิดคิดไปว่าข้ามีเจตนาแอบแฝงจะทำอย่างไรเล่า”

เขาขอเป็นเพียงผู้ส่งสารที่ไร้น้ำใจก็แล้วกัน แต่จะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับความรักของคนวัยกลางคน

หากเขาบอกกับจักรพรรดิจาวเหรินว่าทำเช่นนี้ไปชั่วชีวิตก็จะไม่มีทางตามเกี้ยวแม่นางหลีได้ ไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะโมโหเขาด้วยซ้ำ

ไม่ง่ายเลยที่ช่วงนี้อยู่ด้วยกันแล้วจะรู้สึกว่าเป็น ‘พ่อใจดีและลูกกตัญญู’ เซียวปี้เฉิงเองก็ฉลาดพอที่จะไม่ไปหาเรื่องใส่ตัว

แต่ทั้งสองสามีภรรยาชักเริ่มเอะใจถึงคนที่สอนจักรพรรดิจาวเหรินให้พูดมุกเสี่ยวเกี้ยวสาวเข้าเสียแล้ว

ตอนฝึกฝนพลังจิต พวกเขามักจะเงี่ยหูไปในทางห้องตำรากับพระที่นั่งบำรุงฤทัย

อวิ๋นหลิงตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือน ได้รับผลกระทบจากทารกในครรภ์ พลังจิตจึงอ่อนล้าและพัฒนาช้า

กลับกัน พลังจิตของเซียวปี้เฉิงเริ่มดีวันดีคืน ขอบเขตการรับรู้เริ่มไกลขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถพิเศษในการเคลื่อนย้ายสิ่งของก็ชำนาญมากยิ่งขึ้น

หลังจากตั้งใจสืบหาอยู่สองสามวัน ในที่สุดเขาก็พบคนที่สอนจักรพรรดิจาวเหรินพูดมุกเสี่ยวเกี้ยวสาว นั่นคือกงจื่อโยว

อวิ๋นหลิงก็เข้าใจในบัดดล “เรียนรู้ความรู้สึกมาจากเศรษฐีหนุ่ม”

เซียวปี้เฉิงกล่าว “เขาตามตื๊อมาหลายปีกว่าจะเอาชนะใจศิษย์พี่ใหญ่ได้ในที่สุด หลังจากเสด็จพ่อรู้เรื่องของพวกเขาแล้ว ก็ตั้งใจมาขอคำแนะนำจากเศรษฐีหนุ่ม เศรษฐีหนุ่มจึงได้ผลประโยชน์จากเสด็จพ่อไปไม่น้อย”

คำพูดเหล่านี้กงจื่อโยวเรียนรู้มาจากหลงเย่ แล้วถ่ายทอดมาให้จักรพรรดิจาวเหรินราวกับมอบของขวัญอันล้ำค่า

ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ถือเป็นพี่เขยแท้ๆ ของเขา หากจักรพรรดิจาวเหรินไม่พยักหน้า เขาคงไม่อาจแต่งงานกับหลงเย่ได้

แต่ไรมากงจื่อโยวก็เป็นผู้ที่รู้บุญคุณคน

พออวิ๋นหลิงรู้ว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังแผนนี้คือเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างสมเหตุสมผล หากเป็นคนอื่น ไม่แน่อาจจะมีความแค้นส่วนตัวกับจักรพรรดิจาวเหริน

ตามที่คนของสำนักทิงเสวี่ยพูดกัน ยามนี้กงจื่อโยวยืนกรานจะหยอดคำหวานกับหลงเย่ทุกวัน โดยสาบานว่าจะทำให้นางหวานชื่นรื่นรมย์อยู่กับความรักตลอดไป

ด้วยเหตุนี้หลงเย่จึงสอนมุกเสี่ยวเกี้ยวสาวสมัยใหม่ให้เขามากมาย บอกว่าจะต้องเพิ่ม ‘สีสัน’ ในชีวิตคู่ระหว่างสามีภรรยา แต่ความจริงแล้วอยากจะหยอกล้อกงจื่อโยวคนหัวทึบเพื่อให้ตัวเองขำเล่นก็เท่านั้น

บ่าวรับใช้ในจวนจินอ๋องได้ยินคำพูดเหล่านี้ทุกวี่วัน ต่างก็รู้สึกด้านชาไปตามๆ กันมานานแล้ว

ทว่ากงจื่อโยวกลับศึกษาอย่างจริงจัง นอกจากมุกเสี่ยวเกี้ยวสาวเหล่านั้นแล้ว เขายังเรียนรู้วิธีการสารภาพรักในภาษาอื่นๆ อีกมากมาย

ตัวอย่างเช่นคำว่า ‘อ้าย หลาว หู่ โหยว ที่เลียนเสียงใกล้เคียงกับคำว่าไอ เลิฟ ยู’ ของชาวตะวันตก และ ‘ไอ อี้ ซี ไท่ ลู่ ที่เลียนเสียงคำว่าไอชิเตะรุโย’ ของภาษาญี่ปุ่น เขาอ้าปากก็พูดได้คล่องสำเนียงเป๊ะได้มาตรฐาน

แม้ว่าอวิ๋นหลิงจะไม่ชอบมุกเสี่ยวเกี้ยวสาว แต่ก็รู้สึกอิจฉาความผูกพันใกล้ชิดและความรักอันลึกซึ้งของทั้งสองอย่างอดไม่ได้

ส่วนสามีของนางเป็นพวกปากหนักไม่ค่อยพูด ทั้งชีวิตไม่เคยพูดคำหวานชวนเลี่ยนเช่นนี้เลย

เซียวปี้เฉิงกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยท่าทางไม่พอใจ “สักแต่พูดคำไพเราะเสนาะหูไม่มีประโยชน์หรอก ต้องเป็นคนลงมือทำด้วยจึงจะดี ถ้าเสด็จพ่อเรียนรู้จากข้าแล้วไปแสดงความจริงใจที่ร้านของหวาน แม่นางหลีจะเห็นว่าฮ่องเต้อย่างเขายินดีสละศักดิ์ศรีและท่าทีองอาจเพื่อนางโดยไม่สนใจสายตาของผู้อื่น นางจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน”

นางไม่ได้เจอหลี่กุ้ยเฟยมาระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ป่วยหนักคราวนั้น อีกฝ่ายก็เก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหน

ว่ากันว่ายามนี้หลี่กุ้ยเฟยชอบปลูกดอกไม้ บางครั้งก็ทำงานฝีมืออยู่ในพื้นที่โล่งๆ ข้างตำหนักเหมือนนางสนมคนอื่นๆ

เมื่อก้าวเข้าสู่ตำหนักเว่ยยาง อวิ๋นหลิงมองเห็นร่างที่ยังคงสง่างาม อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีเรียบ ดูเหมือนจะล้างเครื่องประทินโฉมออกไปบ้างแล้ว

หลี่กุ้ยเฟยสังเกตเห็นว่าคนที่มาคือนาง ดวงตาอันสงบนิ่งก็เกิดริ้วคลื่นปั่นป่วนอยู่หลายส่วน

“เป็นอวี้จือที่เชิญเจ้ามาสินะ เขาหวังจะให้เจ้ามาช่วยตะล่อมยกเลิกคำขอของข้าใช่หรือไม่”

อวิ๋นหลิงมองประเมินหลี่กุ้ยเฟยหลายแวบ เห็นว่านางอารมณ์สงบ แม้ว่าจะสงบผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอัดอั้นตันใจ

เมื่อรับรู้ถึงบางสิ่งในใจ นางขบคิดครู่หนึ่งก่อนคลี่ยิ้มละไม

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงผ่านตำหนักเว่ยยางเลยแวะมาบอกข่าวว่าได้เตรียมบัตรผ่านทางไว้ให้แล้ว อีกสามวันจะถึงวันหยุด อวี้จือจะพาท่านไปสำนักศึกษาชิงอี้ด้วยตนเอง”

หลี่กุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็สะดุ้ง ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาอยู่นาน

ก่อนกลับ อวิ๋นหลิงพูดเบาๆ “ข้าคิดว่าท่านทำตัวเป็นเหมือนเดิม สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสจะงดงามที่สุด สีเรียบๆ พวกนี้ไม่เข้ากับท่านเลย”

หลี่กุ้ยเฟยจมจ่อมอยู่ในภวังค์เงียบงันครู่ใหญ่

เมื่อเยียนอ๋องได้รับคำตอบจากอวิ๋นหลิง จู่ๆ เขาก็เหงื่อออกแตกพลั่ก เอ่ยพูดอย่างร้อนรน

“อาซ้อสาม ท่านไปตกปากรับคำเสด็จแม่ทำไม นี่…”

อวิ๋นหลิงตบไหล่เขาเป็นเชิงปลอบใจ “อย่าตกใจไป อย่าเพิ่งดูเบาเสด็จแม่ของเจ้า นางสู้อดทนผ่านมาได้ตั้งหลายปี เรื่องราวแต่หนหลังไม่ได้ทำให้นางห่อเหี่ยวใจ เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”

“ข้ากลับคิดว่าให้นางไปเห็นสำนักศึกษาเองกับตาจะดีกว่า อาจเป็นโอกาสที่นางจะได้ปล่อยวางไปโดยสิ้นเชิง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ