พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 78

“ในหมู่คนของเราคนที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยและสาหัสที่สุดคือพี่ฉิงทุกๆครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจ นางจะเป็นคนแรกที่บุกฝ่าศัตรูสู้สุดใจแทบไม่สนชีวิตของตัวนางเอง”

ในใจเซียวปี้เฉิงแม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นมารความรักโดยไม่รู้ตัวแต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม

“ขนาดนั้นแล้วยังรอดมาได้อีกหรือ?”

อวิ๋นหลิงอธิบาย “ร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไปเพราะฤทธิ์ยา ไม่เหมือนกับคนทั่วๆ ไป การฟื้นตัวของนางก็ดีมาก บวกกับเทคโนโลยีการแพทย์ที่นั่นพัฒนาขึ้นมาก จึงสามารถแย่งนางมาจากพญายมได้หลายต่อหลายครั้ง”

หลังเช็ดผมแห้งสนิท อวิ๋นหลิงก็ลุกขึ้นไปหยิบหินอุกกาบาตในกล่อง

เซียวปี้เฉิงเกิดความลังเลใจเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เอ่อ…องค์กรอะไรนั่นของพวกเจ้า…มันคือสถานที่อะไรงั้นหรือ?”

เขาสังเกตได้ถึงความขมขื่นและฝืนใจ เมื่อต้องพูดถึงสถานที่ที่ดูฟังแล้ว น่าจะเป็นสำนักอาจารย์อะไรสักอย่างของนาง

ทุกครั้งที่พูดถึงที่มาที่ไปของตนเอง นางจะเอาแต่พูดถึงเหล่าเพื่อนพี่น้อง แต่กลับไม่เอ่ยถึงองค์กรนี้เลย

อวิ๋นหลิงเงียบไปชั่วครู่ เซียวปี้เฉิงเห็นสีหน้าของนางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ถ้าเจ้าไม่อยากพูดถึง เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

“ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากพูดถึง…มีกลุ่มคนที่มีเงินมีอำนาจจัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมา พวกเขาเจาะจงรับเด็กกำพร้าที่มีศักยภาพพิเศษมาอุปการะ จากนั้นก็เลี้ยงพวกเขาด้วยวิธีเลี้ยงพิษกู่ สุดท้ายก็จะเลือกเอาเฉพาะเด็กที่มีศักยภาพโดดเด่นที่สุดมาเก็บไว้ใช้งาน”

เด็กกำพร้า? วิธีเลี้ยงพิษกู่?

เมื่อปะติดปะต่อกับการได้รับบาดเจ็บสาหัสต่างๆนาๆจากการทำภารกิจที่นางพูดถึง เขาก็เข้าใจได้ว่า องค์กรนั่นที่นางพูดถึงไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสำนักอาจารย์เลยแม้แต่น้อย

ในแผ่นดินสวรรค์นี้ก็มีองค์กรเช่นนี้อยู่เหมือนกัน เหล่าทหารของราชนิกุลก็ล้วนตายด้วยวิธีเลี้ยงเช่นนี้

เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีศักยภาพแข็งแกร่งเช่นอวิ๋นหลิง ความเจ็บปวดที่ได้รับก็เทียบกับนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ข้าจำได้ว่านอกจากผู้ที่มีนามว่าหลิวฉิงแล้ว เจ้ายังมีพี่น้องร่วมสำนักอีกสองคนใช่หรือไม่?”

อวิ๋นหลิงพยักหน้าตอบ จากนั้นก็อธิบายเกี่ยวกับพี่น้องสองคนที่เหลือให้เขาฟังคร่าวๆ พี่ใหญ่ของนางมีความสามารถสะกดจิตอ่านใจคนได้ และน้องเล็กที่มีมันสมองและเล่ห์เหลี่ยมสุดเทพ

“เกาทัณฑ์แขนเสื้อที่ท่านเห็นก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือของน้องเล็กนางออกแบบให้เป็นของขวัญวันเกิดให้ข้าโดยเฉพาะ”

รวมถึงความสามารถพิเศษในการตรวจหาพิษของนาง

ความสามารถของพวกนางแม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่พวกนางก็มักถ่ายทอดทักษะพิเศษของตนเองให้กันและกัน

ทักษะพิเศษของอวิ๋นหลิงเองก็เรียนมาจากพี่รองหลิวฉิง แม้นางจะไม่รู้ขบวนท่าต่อสู้โบราณ แต่ทักษะพื้นฐานของนางก็มีอยู่ไม่น้อย

เซียวปี้เฉิงเห็นสีหน้านางเศร้าหมองลงเล็กน้อย คงเพราะนางหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆระหว่างตนและเหล่าพี่ร้องร่วมสำนักที่ต้องพลัดพรากมาจากอีกโลก เห็นเช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคุย

“ความสามารถของพวกเจ้าช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เช่นนั้นข้าเองสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะ?”

เขาตั้งมั่นในใจว่าจะต้องควบคุมพลังนี่อย่างเชี่ยวชาญ เพื่อจะได้ปกป้องนางเมื่อยามคับขัน

อวิ๋นหลิงยิ้มมุมปาก วางหินอุกกาบาตลงบนโต๊ะไม้ขนาดเล็กบนเตียง

“ในแต่ละคนจะมีพลังที่แตกต่างกันออกไป ส่วนพลังของท่านจะเป็นแบบใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับดวงของท่านเอง”

ที่พลังของพวกนางแตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะถูกกระตุ้นจากตัวยาที่แตกต่างกัน

อวิ๋นหลิงเองก็ไม่รู้ว่าพลังของเขาจะเป็นแบบใด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ระหว่างฟื้นตัวร่างกายของเขาจะไม่ต้องเจ็บปวดทรมานจากฤทธิ์ยาแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน ระหว่างกลางคั่นด้วยหินอุกกาบาตที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ จากนั้นทั้งสองค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ

ภายใต้การชี้แนะของอวิ๋นหลิง เซียวปี้เฉิงก็สามารถเข้าสู่สมาธิได้อีกครั้ง

ไม่เหมือนกับคราก่อน ครั้งนี้เขาสามารถรู้สึกถึงพลังบางอย่าง ที่ทั้งลึกลับและแข็งแกร่งอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ภายในห้องเงียบสงบไร้เสียงรบกวน แต่นอกหน้าต่างก็มีเสียงจั๊กจั่นร้องขึ้นบางคราว

ไม่มีแม้นเสียงคนพูด แต่ทว่าเซียวปี้เฉิงสามารถรู้สึกถึงสารที่พลังนั่นส่งมาหาเขา

นั่นเป็นพลังจิตของอวิ๋นหลิง เขาหลงระเริงกับมันไปโดยสัญชาตญาณ

ไม่ช้าจิตของเขาก็ดำดิ่งเข้าสู่เขตแดนมหัศจรรย์อันลึกลับ ร่างกายของเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายจนลืมเวลาที่ค่อยๆ เดินผ่านไป

เมื่อเซียวปี้เฉิงตื่นขึ้น ก็เป็นเช้าตรู่ของอีกวันเสียแล้ว

ความอ่อนล้าจากวันก่อนๆ หายเป็นปลิดทิ้ง ภายในหัวและจิตใจก็สดชื่นแจ่มใสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อวิ๋นหลิงเองก็หลับอยู่ข้างๆ เขา เสียงหายใจที่สม่ำเสมอ แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาตกกระทบที่ใบหน้าของนางใบหน้าสวยไร้ที่ติที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อ ราวกับดอกโบตั๋นที่เบ่งบานท่ามกลางน้ำค้างยามอรุณ

เขาเหม่อมองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าหานางโดยอัตโนมัติ

อวิ๋นหลิงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พลันลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอย่างสะลึมสะลือ

เซียวปี้เฉิงนิ่งอึ้ง…

“อรุณสวัสดิ์ ท่านอ๋อง”

เขากระแอมออกมาเบาๆ ใบหูค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ถามออกมาเบาๆ แก้เขิน “เจ้าตื่นแล้วหรือ?”

“เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ท่านเข้าสู่สมาธิเป็นเวลานาน ยังควบคุมจิตได้ไม่ดีเท่าไหร่ เสี่ยงต่อการหลงระเริงจนลืมวันเวลา หากข้าบุ่มบ่ามปลุกท่านจะกระทบถึงรากวิญญาณของท่านได้ ข้าจึงตัดปัญหาโดยการสะกดจิตให้ท่านหลับไปเสีย”

อวิ๋นหลิงพูดจบ ก็ถามต่อด้วยเสียงจริงจัง “ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”

เซียวปี้เฉิงตอบตามจริง “รู้สึกสดชื่นภายในใจ”

อวิ๋นหลิงยกยิ้ม “รอให้ท่านควบคุมจิตตัวเองได้แล้ว ข้าค่อยสอนทักษะอื่นๆให้แก่ท่านก็แล้วกัน”

อย่างเช่นการใช้พลังจิตสำรวจสิ่งมีชีวิตรอบๆ หรือการเสริมประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะพื้นฐานที่ต้องรู้

ด้วยเหตุนี้ เซียวปี้เฉิงจึงต้องพำนักที่เรือนหลันชิงเป็นเวลาหลายวัน

ช่วงสองสามวันมานี้ ทักษะของเขาถือได้ว่าพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงแค่ตรวจจับการเคลื่อนที่ได้ในระยะสิบเมตร ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตของเด็กสองคนที่ดิ้นไปมาภายในท้องของอวิ๋นหลิง

เซียวปี้เฉิงในตอนนี้ไม่ใช่เซียวปี้เฉิงที่ไม่คุ้นชินและเกรงกลัวต่อพลังวิเศษเหมือนเช่นก่อน ขณะนี้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“เด็กในท้องของเจ้าก็มีพลังจิตเช่นกันหรือ?”

อวิ๋นหลิงพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ “พลังจิตของพวกเขาทั้งสองล้วนมีมาแต่กำเนิด ทั้งยังเหนือกว่าท่านกับข้าเสียอีก ไม่ต้องการการกระตุ้นก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาเองได้”

เป็นพรสวรรค์ที่วิเศษ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัวพรสวรรค์นี้ เพราะพวกเขามักใช้พลังจิตรบกวนนางอยู่บ่อยครั้ง

เซียวปี้เฉิงมองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า จากการคาดเดาตามการวิจัย มีเพียงสองพลังจิตหลอมรวมกันเท่านั้น ถึงจะกำเนิดเด็กน้อยออกมาได้…”

แต่เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นหลิงยังไม่ใช้พลังจิตใดๆ …

อวิ๋นหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง และพยักหน้ายอมรับ “ก็คงจริงตามที่ท่านพูด พวกเขาเหมือนจะเป็นลูกของข้ากับท่าน”

เซียวปี้เฉิงรู้สึกแปลกขึ้นในใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา ดวงตาคมเปล่งประกายขึ้นมาอย่างตื่นเต้น พยายามเพ่งจิตของตนสัมผัสเจ้าตัวน้อยทั้งสองในท้องของนาง

อวิ๋นหลิงสัมผัสได้ถึงพลังจิตที่เขาส่งเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด

“ข้าสามารถถามพวกเขาได้หรือไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง?”

“เรื่องนี้ข้าเกรงว่าต้องรอให้คลอดก่อนถึงจะรู้ ถึงท่านถามไปพวกเขาก็ไม่สามารถตอบท่านได้”

เด็กในครรภ์ทั้งสองยังไม่มีความรู้สึกนึกคิด ภายในโลกใบเล็กๆ ของพวกเขาเดิมทีก็ไม่รู้จักแม้แต่พื้นฐานความแตกต่างระหว่างชายหญิง

เซียวปี้เฉิงรีบพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ เขาอดไม่ได้จะยื่นมือหน้าออกมาลูบหน้าท้องที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของนางอย่างเบามือภายในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอย

“ท้องของเจ้าดูโตขึ้นกว่าก่อนเยอะมาก ไว้ข้าจะให้กรมวังทำชุดหลวมๆ ให้เจ้าใหม่”

ฝ่ามือหยาบกร้านแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของเขา ลูบไล้ไปมาทั่วท้องของนาง ทำให้นางมีความรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย ไม่นานร่างกายของก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

ความรู้สึกเช่นนี้…ก็ไม่แย่เหมือนกันนะ

เซียวปี้เฉิงพำนักอยู่เรือนชิงหลันทุกวัน พวกบ่าวในเรือนต่างก็ลือกันว่าท่านอ๋องและพระชายามีความรักใคร่กลมเกลียว และสุดท้ายข่าวนี้ก็แพร่งพรายเข้าไปในวังหลวง เมื่อเรื่องถึงพระกรรณของพระเจ้าหลวง พระองค์ก็ทรงโล่งพระทัยเป็นอย่างมาก

ไม่เสียงแรงที่เขาจงใจไม่กลับจวนจิ้งอ๋อง ปล่อยให้ไอ้เด็กแสบสองตัวที่ไม่ลงรอยกันได้มีเวลาส่วนตัว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมอยู่ในวังหลวงเป็นแน่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ