พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 802

“จะสั่งอะไรหรือ”

พระเจ้าหลวงแค่นเสียงหัวเราะหยัน มองไปยังอวิ๋นหลิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม รับสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบคม

“ข้าถามเจ้าว่ายามปกติเจ้ามาถวายพระพรข้าที่ตำหนักฉางหนิงเดือนละกี่ครั้ง และไปหาเสด็จแม่ที่ตำหนักกี่ครั้งต่อเดือน เจ้าเป็นหญิงสาวที่ไม่มีมารยาทมาตลอด ข้าก็เอ็นดูที่เจ้าตั้งครรภ์อยู่ จึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยว่าเจ้าจะมาถวายพระพรหรือไม่”

“แต่เจ้าเล่า มีเรี่ยวแรงวิ่งตะลอนไปทั่ว ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักโยวซินทุกวัน ไฉนจึงจำไม่ได้ว่ามาถวายพระพรข้ากี่ครั้ง! หรือว่าในสายตาเจ้า เห็นตาแก่ที่สละราชสมบัติเป็นหัวหลักหัวตอไม่คู่ควรที่เจ้าจะนึกถึง? เจ้าเอาหน้าตาและศักดิ์ศรีของข้าไปทิ้งไว้เสียที่ไหน!”

“วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้าสามีภรรยามา ก็เพื่อลงโทษเจ้าสองคนต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายที่นี่!”

สิ้นเสียง พระเจ้าหลวงก็กระแทกกล้องยาสูบลงบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้จักรพรรดิจาวเหรินตกใจจนตัวสั่น

เซียวปี้เฉิงคุกเข่าลงบนพื้นทันที “หลานอกตัญญู เสด็จปู่โปรดลงทัณฑ์ด้วย !”

อวิ๋นหลิงไม่สามารถคุกเข่าได้ แต่ก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ราวกับยอมรับผิด

“ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ข้าสำนึกผิดแล้ว คราวหน้าไม่กล้าทำแล้ว”

จักรพรรดิจาวเหรินที่อยู่ข้างๆ สีหน้าตกใจ แม้คำพูดของพระเจ้าหลวงจะว่าอวิ๋นหลิง แต่ก็กระทบมาถึงเขาราวกับถูกตบหน้าดังฉาดใหญ่

ควรรู้ไว้ว่าพวกเยียนอ๋องต้องเข้าตำหนักมาถวายพระพรพระเจ้าหลวงห้าครั้งต่อเดือน แต่ตอนนี้กลับไปที่ตำหนักโยวซินทุกๆ สี่วัน...

พระเจ้าหลวงกำชับคนรุ่นเยาว์เป็นพิเศษว่าอย่ามาตำหนักฉางหนิงพร่ำเพรื่อ ถึงอีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้ แต่คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาตาแก่น้อยไปได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ที่เขากำชับและส่งเสริมให้ทำเช่นนี้เสียเอง ทันใดนั้นจักรพรรดิจาวเหรินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ใบหน้าพลันแดงก่ำไปถึงใบหู อายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี

ต่อให้จักรพรรดิจาวเหรินจะไม่ฉลาดสักเท่าใด ก็รู้ว่าพระเจ้าหลวงด่าทออวิ๋นหลิงกับสามีเพื่อตีวัวกระทบคราดมาถึงเขา

แต่วิธีการอ้อมค้อมไปหน่อย ก็เพื่อรักษาหน้าของเขา อีกฝ่ายจึงเลือกจะยืมมือคนรุ่นเยาว์

ทีนี้ไหนเลยเขาจะนั่งติด ก็รีบผุดลุกขึ้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้จังหวะพอดี “เสด็จพ่อ เจ้าสามกับชายาก็เป็นห่วงซูโยวเช่นกัน ช่วงนี้จึงเสียมารยาทไปบ้าง ที่ผ่านมาทั้งสองเป็นคนรู้ความ จะไม่ทำผิดอีกแน่นอน!”

ได้ยินดังนี้ อวิ๋นหลิงก็ร้องอุทานในใจว่าตาแก่น้อยเป็นเทพตลอดกาลโดยแท้!

ทีนี้พวกเขาพี่น้องก็ไม่ต้องลำบากเทียวไปเทียวมาตำหนักโยวซินทุกวันอีกต่อไปเสียที

ทว่าพระเจ้าหลวงกลับไม่รับน้ำใจแม้แต่น้อย เขาเบ้ปากขึ้นสูง เบือนหน้าไปทางด้านข้าง

“หึ! ข้าไม่สน ใจข้าโกรธอยู่ ต้องลงโทษพวกเขาจึงจะถูก พวกเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ ลงโทษเจ้าสามให้คุกเข่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ส่วนนางหนูหลิงก็ยืนสำนึกผิดจำให้ขึ้นใจอยู่ข้างๆ เขานี่แหละ!”

ในที่สุดจักรพรรดิจาวเหรินก็ค่อนข้างร้อนใจ ดูท่าครั้งนี้พระเจ้าหลวงจะปะทุเพลิงโทสะเอามากๆ

ไม่ต้องพูดถึงว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกดุเพราะเขา ซ้ำอวิ๋นหลิงยังตั้งครรภ์ ลงโทษให้ยืนเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก็เพียงพอแล้ว

ถ้าจะถูกลงโทษจริงๆ เขาก็รู้สึกสู้หน้าสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ติด

“เสด็จพ่อ มิสู้ให้แล้วกันไปเถิด ลูกจะสั่งสอนพวกเขาเองภายหลัง นางหนูหลิงยังตั้งท้องอยู่…”

“ขืนเจ้าพูดอีกคำหนึ่ง ก็มารับโทษคุกเข่ากับเจ้าสามด้วยกันที่นี่้เสียเลย”

“ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองต้องสนใจการเคลื่อนไหวของเซียงโจวให้มากขึ้น อ๋องไหวเซียงจะก่อกบฏแน่นอน นี่คือเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย”

สีหน้าของอวิ๋นหลิงเริ่มเคร่งเครียด “ก่อนหน้านี้ปี้เฉิงก็เคยคาดเดามาบ้าง ในกองทหารที่ส่งไปยังเซียงโจวจะมีพลปืนไฟไม่น้อยที่เผื่อเอาไว้ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าอ๋องไหวเซียงจะกบฏ”

พระเจ้าหลวงทรงสูบบุหรี่ ตรัสด้วยน้ำเสียงเนิบช้าด้วยสีหน้าหนักใจ “บรรพชนตระกูลโม่นั้นไม่ธรรมดา สมัยที่เหล่าโม่ยังหนุ่มก็เป็นแม่ทัพเก่าราชวงศ์ก่อน แต่ผู้เป็นนายเก่าของราชวงศ์ก่อนเป็นพวกไม้หลักปักเลน ด้วยเหตุนี้ตระกูลโม่จึงวางแผนจะโค่นล้มอดีตราชวงศ์โจว และยึดบัลลังก์มาตั้งนานแล้ว หลังจากบังเอิญพบกับข้าจนกลายเป็นสหายสนิทกัน เขาจึงตัดสินใจช่วยข้าขึ้นครองบัลลังก์ด้วยเหตุผลหลายประการ”

เหล่าโม่จากปากของเขาก็คืออ๋องไหวเซียงผู้เฒ่า

“ถึงเหล่าโม่จะยินดียอมให้ข้า แต่ลูกชายของเขากลับรู้สึกว่าแผ่นดินนี้เดิมควรจะเป็นของคนแซ่โม่ ข้ามองออกมานานแล้วว่าสามีของซูโยวเป็นคนทะเยอทะยานและน้ำนิ่งไหลลึก เวลานั้นแม้ว่าเสด็จพ่อพวกเจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว แต่ข้ายังควบคุมอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังและไม่กล้ารีบร้อนจนเกินไป”

“ตอนนี้เหล่าโม่ตายไปหลายปี ข้าก็วัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว คนที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้าเก้าจะกำราบเขาได้ก็แปลกละ”

เซียวปี้เฉิงเอ่ยปลอบใจอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เสด็จปู่อย่ากังวลไปเลย ท่านยังไม่รู้ ตอนนี้พวกเราไม่เพียงมีปืนคาบศิลา แต่ยังสร้างปืนใหญ่ด้วย ไม่ต้องพูดถึงอ๋องไหวเซียงคนเดียว ต่อให้อ๋องไหวเซียงสิบคนจะก่อกบฏก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”

อาวุธร้ายแรงที่ล้ำสมัยของยุคปัจจุบันเหล่านี้คือความมั่นใจและความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขากับอวิ๋นหลิง

พระเจ้าหลวงพยักหน้า ถอนใจก่อนรับสั่ง “ข้ารู้ว่าเจ้าสองคนฉลาด และไม่เห็นอ๋องไหวเซียงอยู่ในสายตา ข้าก็แค่รู้สึกผิดหวัง...”

“เจ้าไม่เคยรู้จักมักจี่กับอ๋องไหวเซียง จึงไม่แน่ใจถึงเหตุที่เขาจะก่อกบฏ แต่เจ้าเก้าติดต่อกับเขามาหลายปีดีดัก ปัญหาของซูโยวก็ยังไม่เพียงพอจะกระตุ้นเตือนเขาได้!”

แม้กระทั่งโม่อ๋องก็กังวลว่าอ๋องไหวเซียงจะกบฏ จึงบอกเซียวปี้เฉิงเป็นพิเศษให้เขานำกำลังคนไปเซียงโจวมากขึ้นหน่อย

กลับกัน จักรพรรดิจาวเหรินไม่รู้สึกถึงอันตรายนี้เลย เพียงสั่งให้จับคนมัดไพล่หลังรั้งคอนำกลับมาไต่สวน ส่วนเขาก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ