พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 812

สรุปบท ตอนที่ 812 เพลงเก่ายอดนิยม: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ

อ่านสรุป ตอนที่ 812 เพลงเก่ายอดนิยม จาก พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ โดย Anchali

บทที่ ตอนที่ 812 เพลงเก่ายอดนิยม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายโรแมนติกโบราณ พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Anchali อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่เอ่ยถึงเรื่องการก่อตั้งหนังสือพิมพ์เมืองหลวง เซียวปี้เฉิงก็ประกาศเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปิดโรงเรียนอนุบาลหลวงด้วย

เรื่องโรงเรียนอนุบาล อวิ๋นหลิงได้มอบหมายให้ซวงหลีและเฉียวเย่รับผิดชอบดำเนินการแทนนางตั้งแต่แรกแล้ว หลายเดือนมานี้ก็มีความคืบหน้ามาตลอด

การก่อตั้งโรงเรียนอนุบาลหลวงเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานที่หรืออาจารย์ แทบจะถูกกำหนดไว้หมดแล้ว

เพราะโรงเรียนอนุบาลหลวงมีไว้รองรับลูกหลานของขุนนางที่มีอายุตั้งแต่สามขวบจนถึงเจ็ดขวบเท่านั้น ใช้พื้นที่ไม่ใหญ่มาก การเตรียมการจึงรวดเร็วมาก

ไม่เหมือนกับสำนักศึกษาชิงอี้ที่เป็นผลงานยิ่งใหญ่ ครั้งนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายมีความกระตือรือร้นต่อการก่อตั้งโรงเรียนอนุบาลหลวงเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเสียงคัดค้านเลยแม้แต่เสียงเดียว

“สร้างโรงเรียนเป็นเรื่องดี พระชายารัชทายาทพูดได้ถูกต้อง การศึกษาต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก”

“ถูกต้อง องค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ตอนนี้สำนักศึกษาชิงอี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน กระหม่อมเชื่อว่าการสร้างโรงเรียนอนุบาลก็คงจะทำได้ดีไม่แพ้กัน”

“เริ่มรับสมัครช่วงต้นเดือนแปด ดีมากดีมาก ในบ้านกระหม่อมก็มีเด็กอายุสามขวบอยู่หลายคน เป็นช่วงอายุที่ควรเริ่มเรียนรู้พอดี”

เซียวปี้เฉิงฟังเสียงชื่นชมจากเหล่าขุนนางใหญ่ที่อยู่รอบข้าง กระตุกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะ

มีแต่ผีเท่านั้นที่จะเชื่อคำพูดของตาแก่พวกนี้

ถ้าหากเสนอว่าให้ลูกหลานของขุนนางเล่าเรียนไปพร้อมกับลูกหลานของชาวบ้านทั่วไป เกรงว่าคงจะโกรธจนควันออกหูไปนานแล้ว

เขารู้อยู่แก่ใจ ตาแก่พวกนี้ไม่ได้สนใจความสามารถในการสอนของโรงเรียนอนุบาล แต่เล็งเห็นถึงโอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์และทำความรู้จักกับตระกูลขุนนางอื่นๆ

แต่ไม่เป็นไร อวิ๋นหลิงจัดการได้

ภายใต้การล้างสมอง......ไม่ ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยหลักคำสอนบางอย่างที่มีลักษณะพิเศษ ในอนาคตเด็กเล็กเหล่านี้จะได้รับการปกป้องดูแลอย่างดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเติบโตไปเป็นต้นกล้าที่คดงอ

ยังมีขุนนางที่ทั้งคาดหวังและเป็นกังวลเอ่ยถามขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท......ลูกชายของกระหม่อมปีนี้เพิ่งจะครบเจ็ดขวบ ไม่ทราบว่ายังสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลได้หรือไม่”

เซียวปี้เฉิงให้คำตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้เยื่อใยว่า “เจ็ดขวบเป็นอายุที่ต้องจบการศึกษาจากอนุบาลสามแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าเรียนได้อีก”

ขุนนางคนนั้นได้ยินก็รู้สึกเสียใจมาก แอบถอนหายใจด้วยความเสียดายอยู่หลายครั้ง ในจวนของเขาไม่มีเด็กที่อายุเข้าเกณฑ์เลย ต้องเสียโอกาสที่จะพัฒนาเส้นสายไปแล้ว

ขณะนี้เอง เซียวปี้เฉิงก็พูดขึ้นอย่างอ้อมๆด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบร้อนและไม่ช้าจนเกินไป “แต่ว่า ข้ากับหลิงเอ๋อร์ยังมีแผนการต่อเนื่อง ตั้งใจไว้ว่าจะสร้างสำนักศึกษา สำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบถึงสิบหกปี จะจัดให้มีการศึกษาโดยสมัครใจเช่นเดียวกัน”

แบ่งเป็นชั้นประถมหกปีและมัธยมสามปี ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตของการศึกษาภาคบังคับ

เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะพึ่งระบบการสอบขุนนาง ตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าจะแต่งงานหรือทำงาน หรือว่าจะศึกษาต่อในสำนักศึกษาชิงอี้ที่เป็นสำนักศึกษาขั้นสูง

ตัวเลือกแรกนั้นเป็นการขยายความรู้ของประชาชน ให้หลักประกันพื้นฐานด้านการศึกษาแก่ประชาชนในแคว้นต้าโจว ตัวเลือกที่สองเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ก้าวเข้าสู่วิถีทางแห่งการเป็นขุนนาง

ขอเพียงเป็นเด็กที่มีอายุตามเกณฑ์ ล้วนสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างไร้เงื่อนไข

และส่วนนี้เป็นส่วนที่ทำได้ยากมากที่สุด เพราะมีเด็กในช่วงอายุนี้มากที่สุด เกินกว่าที่สำนักศึกษาหนึ่งจะรองรับได้ ยังต้องใช้เวลาในการเตรียมการประมาณสามถึงห้าปี รวมไปถึงเงินสะสมในท้องพระคลังด้วย

มีขุนนางไม่น้อยรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกายว่า “สมแล้วที่เป็นองค์รัชทายาท ถ้าหากทำสำเร็จ นี่ต้องเป็นการก่อตั้งที่จะได้รับการจารึกเป็นประวัติศาสตร์ให้จดจำไปตลอดกาลแน่ๆ”

“ถูกต้อง เรื่องใหญ่เช่นนี้นำขึ้นมาเป็นวาระการประชุมของเข้านี้เลย ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทจะเริ่มดำเนินการเมื่อไหร่”

มองดูใบหน้าของแต่ละคนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความปรารถนา เซียวปี้เฉิงได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ

ตาแก่พวกนี้ เขาต้องทำให้คนกลุ่มนี้ใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากในการลงทุนซะบ้าง

หลังจากที่หลอกล่อเหล่าขุนนางในราชสำนักแล้ว เซียวปี้เฉิงก็อารมณ์ดีมาก สีหน้าสบายอกสบายใจเดินเอามือไขว้หลังกลับไปยังตำหนักบูรพา

ได้ยินเสียงร้องเพลงของฮั่วถวนดังมาแต่ไกล

“ลาๆๆ ลาๆๆ ข้าเป็นเด็กขายหนังสือพิมพ์ ที่ไม่กลัวลมฝน......ไม่รอพรุ่งนี้แต่รอไปส่งหนังสือพิมพ์ เดินไปร้องไป วันนี้อากาศดีมาก เงินเจ็ดอีแปะได้หนังสือพิมพ์สองฉบับ”

เซียวปี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะทำหน้าอธิบายไม่ถูก เด็กคนนี้ได้รับการสืบทอดจุดเด่นเรื่องการร้องไม่ครบเสียงห้าเส้นจากแม่ของเขามาโดยสมบูรณ์ ยิ่งไม่กว่านั้นยังบรรลุพลังเทพเรื่องเสียงที่ไม่ไพเราะด้วยตนเองมาตั้งแต่เกิด ชอบพูดจ้อไม่หยุดน่ารำคาญ เอาแต่รบเร้ากวนใจ

เขาก้าวเข้าไปในตำหนัก ก็พบว่าฮั่วถวนกำลังสวมหมวกที่มีรูปร่างแปลกประหลาด บนร่างยังมีกระเป๋าสะพายลายดอกเล็กๆ

เจ้าตัวเล็กสวมกางเกงเปิดเป้า กำลังบิดก้นกลมมนของตัวเองไปมา พลางเดินพลางร้องอยู่ในตำหนักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ

เซียวปี้เฉิงเดินไปข้างกายอวิ๋นหลิง เอาน้ำชาเย็นๆขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ “เพลงนี้เจ้าเป็นคนสอนหรือ”

อวิ๋นหลิงยิ้มพลางพยักหน้า “เพลงนี้เป็นเพลงเก่าที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่นในโลกของพวกเรา วันหน้าถ้าหากสามารถสืบทอดต่อไปในโลกนี้ได้ ยังพอถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนึ่ง”

ได้ยินดังนั้น เซียวปี้เฉิงก็แอบพึมพำในใจ

ก็ใช่ว่าจะเป็นบทเพลงที่สามารถสืบทอดต่อไปได้

เพราะถ้าเพลงถูกร้องออกมาจากปากอวิ๋นหลิงและสอนให้คนอื่นละก็ มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ใช่เพลงเดียวกับต้นฉบับแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ