เข้าสู่ระบบผ่าน

พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 918

หลี่เมิ่งเอ๋อร์อึกอักอยู่สามรอบ ก่อนจะเอ่ยชื่อที่ทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลนี้ออกมาได้

แต่แล้วเฟิ่งเหมียนแค่ขมวดคิ้วพลางมองนางแวบเดียว สายตาเหมือนไม่รู้จักกันเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าได้ลืมหลี่เมิ่งชูที่มีวาสนาได้พบกันเพียงหนเดียวเท่านั้นไปเสียแล้ว

“โห ไม่เจอกันแค่หนึ่งปี ลูกชายเจ้าโตขนาดนี้แล้ว” เสวียนจีตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงสูง ดวงตาที่ชาญฉลาดมีประกายวาบผ่าน “จุ๊ๆๆ มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย แต่กลับไม่มีสามีและไม่ต้องปรนนิบัติพ่อแม่สามี ห่านหัวโต ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ชนะในชีวิตจริงแล้ว”

พูดจบ สีหน้าของทุกคนต่างก็มีแววประหลาดใจเล็กน้อย

หลีเมิ่งเอ๋อร์อ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือนกำลังเยาะเย้ยสถานการณ์ของนางในตอนนี้ แต่ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของเสวียนจี ก็เหมือนว่าจะคิดเห็นเช่นนั้นจริงๆ

พอพูดคำว่า”ห่านหัวโต”ออกไป ในที่สุดเฟิ่งเหมียนก็นึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร อดไม่ได้ที่จะมองหลี่เมิ่งเอ๋อร์อีกครั้ง

เมื่อเทียบกับโหงวเฮ้ง”ดวงกินสามีและลูก”ในตอนนั้น คิ้วที่เดิมทีเรียวเล็กที่เชิดสูงขึ้นของนางหนาและอ่อนโยนลงบ้างแล้ว ความเฉียบคมและหยิ่งยโสก็มีน้อยลง

แม้ว่าองคาพยพทั้งห้าจะเปลี่ยนไปไม่มาก แต่ความแตกต่างในรายละเอียดก่อนหลัง กลับทำให้ใบหน้าของนางดูไม่เหมือนเดิม

หลี่เมิ่งเอ๋อร์ถูกเขามองจนรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ เดาไม่ถูกว่าเสวียนจียังคงถือสาเรื่องก่อนหน้านี้หรือไม่ จึงได้จงใจเยาะเย้ยนางเช่นนั้น จึงได้แต่ลดตัวลง ประจบประแจงอย่างระมัดระวัง

“แม่นางเสวียนจีล้อเล่นแล้ว......ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเหลวไหลไม่รู้ความ ทำให้พ่อแม่พี่น้องต้องอับอาย ทำให้ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงเห็นเป็นเรื่องตลก ตอนนี้ก็เป็นแค่คนต่ำต้อยเท่านั้น ไหนเลยจะคู่ควรกับคำว่าผู้ชนะในชีวิตจริง”

พูดถึงตรงนี้ หลี่หยวนเส้าก็จำได้ทันทีก็ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

เขารู้ว่าน้องสาวที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายไร้เหตุผลจะโต้แย้งได้ แม้คนอื่นจะเยาะเย้ยถากถางก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ แต่เมื่อเห็นนางที่มีท่าทีถ่อมตัวจนต่ำต้อยเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ดี มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น

เฟิงอู๋จีได้สติช้ากว่าคนอื่น นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ รับรู้ได้ว่าเหตุการณ์น่ากระดากมาก

ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากคลี่คลายบรรยากาศ ก็เห็นเสวียนจีเบิกตากว้าง เอ่ยเสียงสูงว่า “เจ้าอย่าถ่อมตัวจนต่ำต้อยเกินไปนักเลย ในขณะที่ผู้หญิงคนอื่นเอาแต่วิ่งวุ่นอยู่รอบตัวสามีและพ่อแม่สามี เจ้ากลับไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลใจกับเรื่องเส็งเคร็งเหล่านั้นเลยสักนิด วันๆได้ทำแต่เรื่องที่ตัวเองชอบ นี่ไม่ใช่ผู้ชนะในชีวิตจริงแล้วจะเป็นอะไร”

“ผู้หญิงปกติทั่วไปหากบอกว่าไม่อยากแต่งงานมีลูก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพ่อแม่และญาติๆที่เป็นผู้หญิงชี้แนะและบีบบังคับ เป็นเหมือนเจ้าเช่นนี้ดีจะตายไป ไม่มีผู้อาวุโสคอยเพิ่มแรงกดดัน พี่ชายพี่สาวต่างก็สนับสนุนเจ้า นี่เป็นบุญวาสนาที่คนมากมายอยากมีก็ขอไม่ได้”

เสวียนจีพร่ำไม่หยุด สายตาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของประทีบ “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เจ้ายังมีลูกชายที่ผูกพันกันโดยสายเลือด เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ยืนยันจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทายาทสืบทอดและการเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่าแล้ว”

“เรื่องนี้ถ้าอยู่ที่บ้านเกิดของข้า คงจะทำให้คนอื่นอิจฉาไม่น้อย”

คำพูดที่รัวยาวออกมา ทำเอาพี่น้องตระกูลหลี่ต่างก็นิ่งอึ้งไป

ทำไมแม่นางเสวียนจีจึงดูเหมือนจะอิจฉาชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์จริงๆ

ตอนนี้ทำเอาสามพี่น้องทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลี่เมิ่งเอ๋อร์ที่ไตร่ตรองคำพูดของเสวียนจีอย่างละเอียด รู้สึกมีเหตุผลทุกคำ

แม้ว่านางเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้คนละแวกบ้านติฉินนินทา แต่เพื่อนที่ยังไม่แต่งงานและหญิงที่แต่งงานแล้วต่างก็มักจะพูดถึงความลำบากของกันและกัน แต่นางไม่มีแรงกดดันเลยสักนิด

ตั้งแต่ถูกตระกูลหลี่ตัดขาด และจางอวี้ซูก็เข้าคุก ชีวิตของนางก็ยิ่งสงบสุขมากกว่าแต่ก่อนมาก

หลี่เมิ่งเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงการถูกโน้มน้าวและปลอบใจ นางสงสัยว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของตนเองเกิดปัญหาขึ้นมา ฟังไม่ออกว่าอะไรเป็นคำพูดที่ดีหรือไม่ดีแล้ว

ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสวียนจีถอนหายใจพลางพูดว่า “เฮ้อ ตอนนี้ข้ามักจะถูกพวกพี่เขยเร่งให้หาคู่มีความรัก น่ารำคาญจริงๆ ถ้าหากภายหน้าข้าเป็นเหมือนเจ้าคงจะดีมาก ไม่ต้องถูกภาระทางโลกขวางการศึกษาวิจัยของข้า ยังสามารถมีทายาทมาสืบทอดความรู้ความสามารถ ถ้าฝ่ายชายสามารถให้กำเนิดลูกได้ก็ยิ่งดี”

“……”

“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะ ตอนนี้มีคนมาก พวกเราไปกินด้วยกันเถอะ สั่งอาหารเต็มโต๊ะก็ไม่ต้องกลัวว่าจะกินไม่หมดแล้ว เสี่ยวจีจี ลูกศิษย์ที่ดีของข้า ข้าจะกินอาหารแปดตระกูลใหญ่ของชาวแมนจูและชาวฮั่นฮ่าๆๆ......”

หลี่เมิ่งเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่า เสวียนจีจะเชิญพวกเขาไปกินข้าวด้วยกัน ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ

บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความจริงใจ และไม่มีเจตนาร้ายอะไรเลย นางก็ผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว

พอได้สติอีกครั้ง ก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัวบนชั้นสามของโรงอาหารแล้ว สองเท้าที่ย่ำอยู่บนพื้นยังคงรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง

สองสามีภรรยาอวิ๋นหลิงมาทานอาหาร ทั้งสองฝ่ายบังเอิญพบกัน เซียวปี้เฉิงได้ยินว่าเฟิงอู๋จีได้คำนับแม่สาวน้อยเป็นอาจารย์แล้ว กำลังจะจัดเลี้ยงอาหารคำนับอาจารย์หนึ่งโต๊ะ แอบรู้สึกยินดีในใจ

“เช่นนั้นข้ากับหลิงเอ๋อร์ก็มาได้จังหวะจริงๆ คงไม่รังเกียจที่จะเพิ่มที่นั่งอีกสองที่ เพิ่มอาหารอีกสองสามอย่างกระมัง”

ดีจริงๆ ประหยัดค่าอาหารมื้อนี้ได้แล้ว

เฟิงอู๋จีรีบยกมือขึ้นเชิญเขาเข้าไปข้างใน “องค์รัชทายาทล้อเล่นแล้ว พระองค์กับพระชายารัชทายาทยินดีให้เกียรติ ศิษย์ต่างหากที่ควรดีใจ ทุกท่านรีบนั่งเถอะ อาหารมื้อนี้เป็นการเลี้ยงคำนับอาจารย์ จึงให้อาจารย์สั่งอาหารก่อน องค์รัชทายาทค่อยสั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ก็ต้องสั่งให้เต็มที่สักหน่อย

หลังจากนั้น เซียวปี้เฉิงก็เขยิบเข้าไปใกล้เสวียนจี ต่างก็พูดถึงอาหารที่อยู่ในรายการอาหาร ไม่ช้าก็เลือกอาหารได้สิบกว่าอย่าง

เฟิงอู๋จีได้ยินรายชื่ออาหารเหล่านั้น ก็แอบเอากระเป๋าเงินออกมาดู รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

โชคดีที่พกเงินมามากพอ......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ