เข้าสู่ระบบผ่าน

พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 989

หลังจากที่พระเจ้าหลวงมา อวิ๋นหลิงก็ให้ทางห้องครัวเอาหม้อไฟร้อนๆออกมาอย่างรวดเร็ว

เครื่องแกงกับวัตถุดิบล้วนเตรียมไว้อย่างมากมาย นอกจากเรือนนี้ที่มีหนึ่งโต๊ะ เรือนอื่นๆก็มีเช่นเดียวกัน

เสวียนจี เฟิ่งเหมียน หลี่เมิ่งเอ๋อร์ทั้งสามคนพาลูกศิษย์จากโรงเรียนแพทย์กินกันเองหนึ่งโต๊ะ ในเรือนอื่นๆเด็กในโรงยาและพวกคนงานก็กินกันอีกโต๊ะหนึ่ง

กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปไกล ถ้าหากไม่ได้แขวนป้ายโรงยาแล้วละก็ ต่างก็คงคิดว่าที่นี่เปลี่ยนเป็นร้านหม้อไฟไปแล้ว

ครั้งนี้ไม่ได้ใช้หม้อยวนยาง แต่เป็นหม้อที่แบ่งเป็นสามส่วนซึ่งทำขึ้นโดยเฉพาะ

นอกจากน้ำแกงสีแดงที่ทุกคนชอบ อวิ๋นหลิงยังได้เตรียมน้ำแกงเห็ดบำรุงร่างกายให้เสียนอ๋องโดยเฉพาะ รวมไปถึงน้ำแกงทะเลที่ช่วงนี้ทุกคนต่างก็โปรดปราน

เห็ดไม่ว่ายามใดก็เป็นผักที่ง่ายต่อการจัดเก็บมาก เห็ดฤดูหนาวสดใหม่จากภูเขาบวกกับเห็ดหอม เห็ดโคน เห็ดฟางตากแห้งเป็นต้น ก็เป็นวัตถุดิบที่เห็นได้บ่อยในหม้อไฟน้ำใสที่อยู่ในร้านหม้อไฟของเมืองหลวง

มีพุทราจีนและเก๋ากี้ลอยอยู่บนผิวน้ำแกง สีแดงน่ากิน ทั้งยังบำรุงร่างกายและอร่อยมาก

ส่วนหม้อไฟทะเล ใช้สาหร่ายม่วง กุ้งแห้ง เปลือกกุ้ง เอ็นหอยแห้ง ปลาแห้ง สาหร่ายน้ำตาลเป็นต้นซึ่งเป็นวัตถุดิบจากทะเล กลิ่นอาหารสดใหม่หายากโชยขึ้นมา

ทุกครั้งที่กินอาหารทะเล อวิ๋นหลิงก็รู้สึกขอบคุณตี้หวู่เหยาและชาวประมงแห่งแคว้นตงฉู่ที่ขยันขันแข็งจากใจจริง ทำให้นางที่อยู่บนบกอันห่างไกลยังสามารถได้ลิ้มรสอาหารทะเลเช่นนี้

เยี่ยนอ๋องเป็นคนแรกที่เข้าไปนั่งในโต๊ะอย่างอดรนทนไม่ไหว เอ่ยเรียกขึ้นว่า “พี่รอง หม้อไฟทะเลนี้เป็นรสชาติใหม่ที่เพิ่งจะค้นคว้าขึ้นมา ของหายากเช่นนี้ท่านคงยังไม่เคยลิ้มลองกระมัง”

แม้จะได้กินแค่ของแห้ง แต่อาหารทะเลสำหรับชาวแคว้นต้าโจวถือว่าเป็นของหายากจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่การค้าระหว่างสองแคว้นยังไม่เชื่อมถึงกัน ของพวกนี้มีราคาแพงลิ่วเลยทีเดียว

ถ้าอยู่ในวังหลวง ห้องเครื่องก็ไม่ค่อยนำมาทำเป็นอาหาร

อวิ๋นหลิงยิ้มพลางกำชับว่า “อาหารทะเลมีฤทธิ์เย็น คนที่เป็นหวัดไม่ควรกินมาก ท่านชิมดูก็พอ อย่ากินมากไป”

เสียนอ๋องพยักหน้า ยากมากที่ใบหน้าจะอ่อนโยนลง “ข้าได้ยินมาว่าปลาในทะเลกับปลาในแม่น้ำไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ก้างน้อยเนื้อรสชาติอร่อย คิดว่าคงเหมาะให้คนแก่และเด็กกินมากกว่า”

ในหม้อได้มีการต้มเนื้อปลาทะเลแห้งรองอยู่ใต้หม้อแล้ว เขาเอาตะเกียบขึ้นมาคีบหนึ่งชิ้น นำไปวางไว้ในถ้วยของพระเจ้าหลวงก่อน

พระเจ้าหลวงเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าดีใจมาก “ก็จริง ข้าเลี้ยงหมูมาครึ่งชีวิต เลี้ยงวัวเลี้ยงแพะมาครึ่งชีวิต มีเพียงปลาในแม่น้ำที่ไม่ชอบเลย ปลาที่เลี้ยงในแม่น้ำกินแล้วก้างเยอะเสียเวลา ที่อยู่ในทะเลก็มีกลิ่นคาวเหลือเกิน แต่ฝีมือการทำอาหารของนางหนูหลิงดีมาก แม้แต่ปลาในทะเลก็ทำได้อร่อยมาก แม้แต่พ่อครัวในห้องเครื่องยังอยากจะขอคำชี้แนะจากนางเลย”

พูดจบ คนทั้งโต๊ะก็เริ่มทยอยกินอาหาร อ๋องโม่ก็รินเหล้าให้กับทุกคน

สิ่งที่พูดคุยกันบนโต๊ะอาหารย่อมเป็นเรื่องการกิน ตอนที่เยี่ยนอ๋องไปแต่งงานที่แคว้นตงฉู่ นับว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ พอเอ่ยถึงอาหารทะเลในตอนนี้ นับว่ามีข้อมูลให้พูดคุยมากมายทีเดียว

“ตอนนั้นเหยาเหยาได้พาข้าออกทะเลเพื่อดูการจับปลาด้วยตัวเอง สัตว์ที่อยู่ในทะเลสวยงามมาก มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าแมงกะพรุน ตัวของมันโปร่งใส ข้างบนมีรูปร่างเหมือนเห็ด ด้านล่างมีหนวดมากมาย แต่มันเปล่งแสงได้ในน้ำ มีทุกสี”

“จักรพรรดิฉู่เลี้ยงแมงกะพรุนไว้มากมายในตู้ปลากระเบื้องเคลือบของเขา สวยกว่าปลาหลีฮื้อในสวนหลวงของพวกเราเสียอีก แต่เหยาเหยาบอกว่าแมงกะพรุนกินไม่ได้ อีกทั้งยังมีพิษสามารถต่อยคนได้ ถ้าหากถูกต่อยอย่างรุนแรง อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้”

“ยังมีสัตว์อีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปลาดาว มีหนวดห้าแฉก เจริญเติบโตเป็นรูปทรงเช่นนี้ สีแดงสวยมาก” เยี่ยนอ๋องพูดไปพลาง ก็ใช้มือแสดงท่าทางอย่างตื่นเต้น “เหยาเหยาบอกว่าปลาดาวบางชนิดสามารถกินได้ ชาวแคว้นตงฉู่จะเอามันไปนึ่งแล้วจิ้มกินกับน้ำส้มและซีอิ๊ว แต่เจ้าสิ่งนี้มีกลิ่นคาวมาก ข้ารับไม่ไหว”

เยี่ยนอ๋องเดิมทีก็เป็นคนร่างเริงช่างพูดมีนิสัยรักสนุก ไม่ว่าเวลาไหนก็สามารถปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่นานนักทุกคนต่างก็พูดคุยกันขึ้นมา แม้แต่เสียนอ๋องก็เข้าสู่บทสนทนาเป็นระยะ

ตั้งแต่ความอัศจรรย์ของท้องทะเลไปจนถึงทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ตั้งแต่เรื่องแปลกจากตะวันตกและญี่ปุ่นไปจนถึงตำนานของเปอร์เซีย

พูดถึงเผ่าทูเจวีย ก็แค่เอ่ยถึงเหล้านมม้าและเนื้อแกะ พูดถึงเหมียวเจียง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องธัญพืชชงดื่มและข้าวสามสี

ไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีต และไม่มีคนโต้แย้งว่าใครผิดใครถูก

พวกเขาก็แค่อยากจะเป็นพี่น้องธรรมดาเหมือนคนอื่นๆในใต้หล้านี้เท่านั้น นั่งกินอาหารรวมญาติอย่างอบอุ่นข้างกายท่านปู่สักมื้อ

ดื่มเหล้าไปสักพัก ทุกคนต่างก็รู้สึกเมาบ้างแล้ว แม้แต่พระเจ้าหลวงที่คอแข็งยังมีสายตาเลื่อนลอยขึ้นมา

ใบหน้าเขาแดงก่ำมีกลิ่นเหล้าเต็มตัว มือที่ผอมแห้งหยาบกร้านตบไหล่เสียนอ๋องที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ค่อยชัดว่า “ฉางซวี่เอ๋ย วันหลังเจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าให้มากเหมือนวันนี้ ข้าแก่จนกระดูกเสื่อมหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี”

“เสด็จพ่อของเจ้าน่าเกลียด แต่ก็ไม่ควรละเลยข้า ถ้ายังไม่กลับไปเยี่ยมที่วังบ่อยๆ วันหน้า......อาจจะไม่ได้เจอกันแล้ว”

เสียนอ๋องได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกซาบซึ้งจนจมูกตื้อตันขึ้นมา

เมื่อก่อนเขามีโอกาสที่จะอยู่เป็นเพื่อนพระเจ้าหลวงมากมาย เพียงแต่เพื่อการอดทนและแก้แค้น จึงได้จงใจอยู่ห่างกับญาติพี่น้องเหล่านี้อย่างจงใจ

มองพระเจ้าหลวงที่คอเอียงพิงอยู่กับพนักเก้าอี้ราวกับหลับไปแล้ว เสียนอ๋องกุมมือของเขาเบาๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “......เสด็จปู่โปรดวางใจ ฉางซวี่รับปากท่าน หลังจากนี้จะไปเยี่ยมท่านกับเสด็จย่าบ่อยๆ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ