พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 99

แต่อวิ๋นหลิงกลับจำฝังใจ โชคดีที่นางไม่ได้ไปจวนเจิ้นกั๋วกงทันทีที่ได้รับคำแนะนำ

พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของรุ่ยอ๋องผู้โง่เขลา จวนเจิ้นกั๋วกงแต่งบุตรีออกเรือนย่อมต้องเข้าร่วมงานแน่

วันแต่งงานรุ่ยอ๋อง ข้ารับใช้ในจวนที่ชื่อเฉียวเย่เตรียมรถม้าไว้หลายคัน

เยี่ยเจ๋อเฟิงใส่ชุดตัวใหม่เอี่ยมสีน้ำเงิน คาดกระบี่ไว้ที่เอวแล้วนั่งบนหลังอาชา ท่าทางสง่างามยิ่ง สะกดสายตาผู้คนได้ดี

เมื่อขึ้นรถม้ายังคงได้ยินการพูดคุยถึงเรื่องสิริมงคล

เพราะเป็นโอรสคนโตของจักรพรรดิจ้าวเหริน งานแต่งงานของรุ่ยอ๋องจึงอลังการงานสร้าง จักรพรรดิจ้าวเหรินสั่งให้จัดงานเลี้ยงอย่างต่อเนื่องสามวัน ประชาชนสามารถไปหยิบกินดื่มตามใจชอบ

อวิ๋นหลิงรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “ครั้งนี้เสด็จพ่อลงทุนจริงๆ ทั้งๆที่เป็นโอรสเหมือนกัน แต่เวลาแต่งงานกันทำไมถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลย?”

โต๊ะที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับแขกที่มาเยือนทุกท่านและตลอดเวลาเช่นนี้ ทั้งยังจะเลี้ยงติดต่อกันสามวันอีก ไม่รู้ว่าต้องฆ่าสุกรไปกี่ตัว พวกไก่เป็ดต้องจบชีวิตไปเท่าไหร่

ตอนที่นางรักษาพระอาการของพระเจ้าหลวงได้ นางได้ลูกหมูเป็นรางวัลเพียงสองตัวเท่านั้น

หลังจากที่พระเจ้าหลวงกลับไปอยู่ในพระราชวังต่อ ก็ได้ยกให้ข้ารับใช้ดูแลเรือนเกษตรแทน และรู้ว่าลูกหมูของนางทั้งสองตัวจะหิวตายไหม?

เมื่อได้ยินอวิ๋นหลิงพูดเยี่ยงนี้ เซียวปี้เฉิงก็รู้สึกไม่ดี เขาตัดสินใจเด็ดขาดว่า “อวิ๋นหลิง วันหน้าข้าจะชดเชยพิธีแต่งงานอันสมบูรณ์แบบให้กับเจ้า”

เขากับอวิ๋นหลิงแต่งงานอย่างเร่งด่วนและไม่เป็นที่ยินดีของทุกคน จึงได้จัดงานแบบเรียบง่าย ประกอบกับฉู่อวิ๋นหลิงไม่ยอมให้ความร่วมมือ พวกเขาไม่เคยได้ทำพิธีคารวะฟ้าดินด้วยซ้ำ...

ถ้าพูดตามตรงก็คือเขากับอวิ๋นหลิงไม่เคยได้ร่วมพิธีมงคลสมรสกันเลย

“หากเจ้าชอบแบบนี้ วันหน้าข้าจะจัดให้เจ้าใหม่”

อวิ๋นหลิงได้ยินก็เอาเคาะกะโหลกเซียวปี้เฉิงเหลือเกิน พูดด้วยน้ำเสียงที่เห็นอีกฝ่ายไม่ได้เรื่องว่า “ท่านโง่หรือไร ใช้เงินเชิญคนอื่นกินฟรีๆแบบนี้ทำไมกัน คิดว่ารวยจนไม่มีที่เก็บเงินแล้วหรือ?”

เซียวปี้เฉิงเอามือเกาหัว แววตาสับสนเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเห็นอวิ๋นหลิงทำหน้าอิจฉาไม่ใช่หรือ?

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝึกพลังจิตด้วยกันบ่อยๆหรือไม่ อวิ๋นหลิงอ่านความคิดของเซียวปี้เฉิงได้ภายในหนึ่งวินาที

นางทำตาขาวใส่แล้วอธิบาย “ข้าไม่ได้อิจฉาที่เสด็จพ่อจัดงานใหญ่โตให้รุ่ยอ๋อง แต่ข้าอิจฉาทุกคนที่ได้กินอาหารอร่อยๆฟรีๆสามวัน”

ด้านนอกรถม้า องครักษ์คุ้มกันเยี่ยเจ๋อเฟิงได้ยินประโยคนี้ มุมปากก็กระตุก

“อย่าได้ดูแคลนไปนะ ฝีมือปลายจวักของพ่อครัวในหลวงวังใช้ได้เลย ถึงจะไม่ดีเท่าข้าก็เถอะ”

เมื่อได้ยินอวิ๋นหลิงกล่าวจบ เซียวปี้เฉิงก็ลูบคาง พูดด้วยความตั้งใจว่า “งั้นเดี๋ยวให้ข้ารับใช้ในจวนมากินอาหารพวกนี้ด้วย ได้ยินสามวันติดต่อกันเช่นนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายภายในจวนได้เยอะเลย”

อวิ๋นหลิงพยักหน้าอย่างพอใจ “สมองไวดีนี่”

เยี่ยเจ๋อเฟิง “...”

แย่แล้ว ท่านอ๋องโดนชี้นำในทางที่ผิดเสียแล้ว

ระหว่างทางไปยังจวนรุ่ยอ๋อง อวิ๋นหลิงแหวกม่านรถม้าออกแล้วชมภาพบนถนนอย่างรื่นรมย์ใจ

เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินพิธีแต่งงานแนวโบราณเช่นนี้ จึงอดอุทานไม่ได้ “ที่แท้สินเจ้าสาวยาวเป็นสิบลี้ในตำนานเป็นเช่นนี้เอง”

ขบวนส่งตัวเจ้าสาวหรงฉานของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นเกือบเต็มถนนจูเชี่ยของเมืองหลวงเลยทีเดียว

เซียวปี้เฉิงได้ยินก็อดพูดด้วยความสงสัยไม่ได้ “ปีศาจสาว ที่ของพวกเจ้าแต่งงานกันอย่างไร?”

“ที่ของพวกข้า?” อวิ๋นหลิงครุ่นคิดแล้วตอบเสียงเบา “มีพิธีแต่งงานทุกรูปแบบ อยากได้แบบไหนก็จัดแบบนั้น”

“มีพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมเช่นนี้ด้วย แต่ไม่ได้อลังการเยี่ยงนี้ มีการแต่งงานแนวฝรั่งด้วย แต่จะสวมชุดเจ้าสาวสีขาว แต่บางคนคิดว่ายุ่งยากก็แค่จดทะเบียนสมรสด้วยกัน ไม่ได้เชิญแขก ไม่ได้จัดงานเลี้ยงก็จูงมือกันไปฮันนีมูน ไปท่องโลก...”

เหมือนเซียวปี้เฉิงจะไม่เข้าใจ แต่ก็เหมือนพอจะนึกภาพได้เล็กน้อย รู้สึกแปลกใจยิ่ง

“ไม่จัดงานเลี้ยง ไม่เชิญแขก? แล้วพิธีจะสมบูรณ์หรือ? แล้วฮันนีมูนคืออันใด? เจ้าชอบแบบไหนที่สุด?”

เขาตั้งคำถามเป็นชุดๆ อาจเป็นเพราะวันนี้ได้กินข้าวฟรีหลายมื้อ อวิ๋นหลิงจึงตอบเขาอย่างอารมณ์ดีว่า

“จดทะเบียนสมรสก็คือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว งานแต่งงานเป็นเพียงพิธีการอย่างหนึ่ง ฮันนีมูนก็คือเจ้าบ่าวเจ้าสาวพากันไปท่องเที่ยวตามลำพังสองต่อสอง ไม่มีผู้อื่นรบกวน”

“ส่วนคำถามที่ว่าข้าชอบแนวไหน...ข้าชอบแนวที่สามมากที่สุด”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว เพราะแนวที่สามไม่ต้องเชิญคนอื่นกินฟรีๆ”

อวิ๋นหลิงถลึงตาใส่เขา พลางส่ายหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ก็ไม่เชิงหรอก ข้าตัวคนเดียว ไม่รู้จะไปเชิญใคร”

เซียวปี้เฉิงจุก สีหน้าเริ่มระมัดระวังขึ้น เปลี่ยนมาพูดว่า “ไว้ว่างๆข้าจะพาเจ้าไปฮันนีมูน”

อวิ๋นหลิงได้ยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ

อันที่จริงชาติที่แล้วพวกนางสี่พี่น้องไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อน การหนีออกไปแล้วได้ใช้ชีวิตปกติคือเป้าหมายหลักของพวกนาง ไม่กล้าฝันลมๆแล้งๆอย่างอื่น

ถึงแม้จะไม่อิจฉาตาร้อน แต่ได้คุยเรื่องพวกนี้กับเซียวปี้เฉิงเป็นบางครั้ง...ก็ไม่รู้สึกน่าเบื่อสักนิด

รถม้าไปเร็วมาก เซียวปี้เฉิงเพิ่งพูดจบก็มาถึงนอกประตูจวนรุ่ยอ๋องแล้ว

เซียวปี้เฉิงจูงอวิ๋นหลิงลงจากรถม้า เพิ่งก้าวเข้าจวนรุ่ยอ๋องก็ดึงดูดสายตาคนนับไม่ถ้วน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนออกงานใหญ่หลังแต่งงานกัน

อวิ๋นหลิงไม่สะทกสะท้านต่อแววตาดูถูก บ้างก็สงสัย บ้างก็มองประเมิน หรือมองด้วยความอิจฉา

“คารวะจิ้งอ๋อง ได้ยินว่าดวงตาท่านอ๋องหายดีแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”

“สวรรค์คุ้มครองท่านอ๋องสามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีได้อยู่แล้ว”

“ท่านจิ้งอ๋อง...”

คนแปลกหน้าพากันมาทักทายปราศรัยเซียวปี้เฉิงด้วยรอยยิ้ม แต่กลับทำเหมือนไม่เห็นอวิ๋นหลิง

อวิ๋นหลิงมีพลังจิต ถึงแม้ไม่ได้จงใจใช้มัน แต่หูก็ยังคงดีกว่าคนทั่วไป นางได้ยินอย่างชัดเจนว่ามีคนกระซิบกระซาบเรื่องนางไม่น้อย ส่วนมากจะเป็นสตรีเพศหลายระดับอายุ

“จิ้งอ๋องพระปรีชาสามารถ หล่อจนไม่มีคนเทียบ เสียดายที่ได้พระชายาหน้าตาอัปลักษณ์”

“จิ้งอ๋องขี้เหร่กำลังตั้งท้อง หน้าตาก็ขี้เหร่ สตรีที่ถึงวัยออกเรือนในเมืองหลวงก็มีไม่น้อย ไม่รู้ว่าผู้ใดโชคดีได้แต่งเข้าจวนจิ้งอ๋อง...”

อันนี้เป็นเสียงใสๆของดรุณีน้อยวัยสิบห้าถึงสิบหกปี เสียงอันริษยาเจือความหวังเอาไว้

“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ฉู่ใช้อุบายถึงได้แต่งเข้าจวนจิ้งอ๋อง เห็นพวกเขาทำเหมือนเข้ากันได้ดีแบบนี้ ไม่รู้กำลังเล่นละครตบตาผู้คนหรือเปล่า?”

ประโยคนี้เป็นเสียงหนักอึ้ง ฟังแล้วเหมือนสตรีอายุสี่สิบปีขึ้นไป น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดเดา

“คุณหนูใหญ่ฉู่รักษาดวงตาจิ้งอ๋องหายจริงหรือ? ถ้านางมีวิชาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงนี้ ไยก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“ข้าเดาว่าอาจจะมีวิชาแพทย์ตัวเล็กแบบงูๆปลาๆ ท่านหมอหลินซินเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับวิชามาจากอู๋อันกง ก่อนหน้านี้นางรักษาดวงตาจิ้งอ๋องมาสองปีแล้ว คาดว่าท่านหมอหลินซินคงใกล้จะรักษาดวงตาท่านอ๋องหายแล้ว แต่นางดันโชคดีได้รับช่วงต่อ สุดท้ายก็ตกเป็นผลงานนางไป”

เสียงซุบซิบเซ็งแซ่ดังขึ้นทั่วทิศ อวิ๋นหลิงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทว่าเซียวปี้เฉิงได้ทำหน้าถมึงทึงแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ