กวนเซี่ยวพูดจาหว่านล้อมด้วยคำพูดดีๆ “ท่านปู่ ท่านลองดูก่อน ถ้าเกิดได้ผลล่ะ”
นายท่านกวนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ของจากขันที ข้าไม่เอา”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งความปวดนี้รุนแรงจนทำให้จอมพลเฒ่าร้องโอดครวญ
เขาบีบขมับพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
กวนเซี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยออกไปนอกประตู แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจ
หลังจากคิดดูแล้ว จู่ๆ ก็ผุดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาเรียกสาวใช้ให้ทำน้ำบ๊วยเปรี้ยวหนึ่งชาม ทุบยาแก้ปวดจนเป็นผง แล้วเติมลงในน้ำบ๊วย
จากนั้นเขาก็หยิบชามเอามาให้จอมพลเฒ่ากวน
“ท่านปู่ ดื่มน้ำดับกระหายก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน ถ้าคลายความร้อนได้ก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น”
จอมพลเฒ่ากวนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก หยิบชามขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว หลังจากนั้นก็ถามถึงค่ายทหาร แล้วเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการปวดศีรษะ
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “หรือว่าข้าเป็นโรคลมแดดจริงๆ หลังจากดื่มเจ้านี่ไป ก็รู้สึกดีขึ้นมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้กวนเซี่ยวก็ดีใจมาก ไม่คิดว่ายาของขันทีน้อยจะใช้ได้ผลจริงๆ
ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ยาที่ซื้อในร้านขายยามีทั้งแบบนำมาต้มหรือบดเป็นผง แต่ไม่เคยเห็นยาที่เป็นเม็ดสีขาวเช่นนี้ หรือว่ากงกงน้อยผู้นี้เป็นหมอยาที่ไม่เปิดเผยตัว
เพื่อตรวจสอบว่ายาของเขามีประสิทธิผลจริงหรือไม่ กวนเซี่ยวจึงตัดสินใจลองใช้ยาเม็ดเล็กๆ สองเม็ดในคืนนี้ หากท่านปู่กินยาแล้วสามารถหลับได้จริงๆ นั่นก็หมายความว่ายาใช้ได้ดี
ขณะที่กวนเซี่ยวกำลังคิดเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็กลับมาถึงวังหลวง
ขณะเดียวกัน ไทเฮาก็ได้ยินเรื่องที่ฮ่องเต้ส่งนางไปฝึกทหารด้วย
ชาที่กินไปแทบจะพ่นพรืดออกมา
“อะไรนะ ฮ่องเต้ให้เสี่ยวเสวียนจื่อไปฝึกทหารรึ”
ชุยไห่โค้งกายกล่าวว่า “เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่ววังหลวงแล้ว ขันทีทุกคนกำลังตั้งตารอให้พวกเขาชนะเพื่อความรุ่งโรจน์”
ไทเฮาแค่นเสียงหึขึ้นจมูก “ช่างน่าขันสิ้นดี ถ้านางฝึกทหารได้ หมูก็ปีนต้นไม้ได้ ว่าแต่ เมื่อคืนนี้เย่าเอ๋อร์ออกไปเมื่อใด”
ชุยไห่ยิ้มและตอบกลับ “ได้ยินจากเสี่ยววังจื่อว่า เกือบจะถึงยามไฮ่”
ไทเฮาถามอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องได้พูดอะไรหรือไม่”
ชุยไห่กล่าวว่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องรีบออกไป ไม่ได้พูดอะไรเลย”
“อ้อ แล้วมีข่าวอะไรจากโหวเหนือบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาขมวดคิ้วทันที
การพึ่งพาอินชิงเสวียนเพียงอย่างเดียวไม่ใช่วิธีที่ดี ตอนนี้ต้องรีบให้เย่าเอ๋อร์กลับมาประชุมที่ราชสำนักให้ได้ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถติดต่อกับขุนนางได้มากขึ้น...
“ถ้าอย่างนั้นก็เขียนจดหมายอีกฉบับถึงท่านอ๋องสิบสาม ตอนนี้ข้าทำได้เพียงขอร้องเขาเท่านั้น…”
ณ ห้องหนังสือ
ฎีกาที่ค้างอยู่ได้รับการสะสางแล้ว สองวันนี้เย่จิ่งอวี้ไม่ยุ่งเหมือนที่ผ่านมา หลังจากตรวจฎีกาเสร็จ เขาก็พาไป๋เสวี่ยไปที่สวนอวิ๋นเซียง
ไม่ได้มาที่นี่เพียงไม่กี่วัน แตงโมลูกสีเขียวสดก็โตขึ้นมาก หนักแปดหรือเก้าชั่งได้กระมัง ข้าวสาลีก็งอกรวงเล็กๆ ด้วย เมื่อสายลมพัดผ่าน ต้นข้าวสาลีโยกไหวราวกับคลื่นน้ำสีเขียว พลิ้วไหว เป็นลูกคลื่นกลับไปมา ช่วงงดงามยิ่งนัก
เมื่อมองดูพืชผลเหล่านี้ เย่จิ่วอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข
นับตั้งแต่เสี่ยวเสวียนจื่อปรากฏตัว ทุกอย่างก็มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ขันทีน้อยผู้นี้เป็นดาวนำโชคจริงๆ!
ขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง
เมื่อเย่จิ่วอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนเดินมาพร้อมกับเสี่ยวอานจื่อ
“ฝ่าบาท กระหม่อมกลับมาแล้ว”
อินชิงเสวียนโค้งกายเล็กน้อย แต่ดวงตาของนางมองไปที่แตงโมลูกใหญ่ที่เท้าของเย่จิ่งอวี้
ใหญ่โตเพียงนี้แล้ว ดูเหมือนว่าคืนนี้จะฆ่าได้แล้ว
เย่จิ่วอวี้พยักหน้า
“ตามสบาย กลอุบายทั้งหมดที่ข้าสอนไป เจ้าได้ใช้แล้วรึ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...