สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 104

ณ สนามฝึก

ทหารของซ่งเฉียวอันได้รับการฝึกฝนอย่างหนักท่ามกลางแสงแดดที่สดใส ส่วนอินชิงเสวียนได้ให้ทหารได้พักผ่อนแล้ว

อุณหภูมิตอนเที่ยงสูงถึงสามสิบเจ็บสามสิบแปดองศาเซลเซียส ถ้าไม่ระวังจะเป็นโรคลมแดดซึ่งได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ

นางมีคนเพียงเท่านี้ จำเป็นต้องรับรองว่าทุกคนต้องได้ลงต่อสู้ในสนาม

ทุกคนนั่งบนพื้น กินองุ่น เพลิดเพลินกับความเย็น และรู้สึกสบายอย่างสุดจะพรรณนา

ทหารของซ่งเฉียวอันยังคงตะโกนลั่น พวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างกระฉับกระเฉง

ทหารคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ติดตามเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงดีกว่าจริงๆ ไม่ต้องฝึกกลางแดด”

อีกคนคร่ำครวญ “ใช่ วันใดที่ฝึกกลางแดดต้องมีทหารล้มไปหลายคนเลย”

“อากาศร้อนเช่นนี้ ยังต้องออกแรงอย่างหัก ถ้าไม่เป็นลมก็แปลกแล้ว กงกงน้อยไม่เพียงแต่ไม่ให้พวกเราตากแดดเท่านั้น แต่ยังให้ผลไม้แสนอร่อยเหล่านี้แก่เราอีกด้วย คงจะดีมากถ้ามีเขาเป็นแม่ทัพของเรา”

จังเถี่ยยืนขึ้นจากพื้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนคิดว่าเจ้าเสี่ยวเสวียนจื่อดี เช่นนั้นก็จงทำกันให้เต็มที่ ถ้าพวกเราแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะกลับคายแล้วพวกเราก็จะถูกพวกเขาหัวเราะเยาะ”

สวีเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ถูกต้อง ข้าพูดหลักการสำคัญอะไรไม่เป็น แต่เมื่อเขาดีต่อพวกเรา พวกเราต้องชนะการต่อสู้ครั้งนี้ตอบแทนเขา จะได้ไม่ติดค้างกัน”

“พวกเราจะต้องชนะการต่อสู้ครั้งนี้”

“ใช่ พวกเราต้องชนะ”

ทหารหลายคนลุกขึ้นยืนแล้ว กำลังเตรียมการฝึกซ้อมอีกครั้ง

อินชิงเสวียนอยู่ในครัว ชี้บอกให้พ่อครัวทหารนึ่งซาลาเปา เมื่อได้ยินคนส่งเสียงดังในลานข้างนอก ก็เดินออกมาดู

“เกิดอะไรขึ้น”

ทหารคนหนึ่งยืดอกกล่าวว่า “พวกเราอยากไปฝึก”

อินชิงเสวียนหรี่ตามองไปที่ดวงอาทิตย์

“การฝึกทหารในวันที่อากาศร้อนจะเป็นลมแดดได้ง่าย ทุกคนควรพักผ่อนสักพัก ถึงยามบ่ายค่อยฝึกก็ยังไม่สาย กินแตงโม ดื่มน้ำมากๆ ต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด ทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งอีกครั้ง

ในบรรดาพวกเขามีทหารใหม่และทหารเก่าอยู่ด้วย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารเก่าหรือใหม่ ในสายตาของแม่ทัพ พวกเขาก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าเครื่องมือในการต่อสู้ เมื่อใดกันที่มีผู้สนใจชีวิตและความตายของพวกเขาจริงๆ

มีคนพูดอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงไม่ต้องห่วง อาศัยที่เจ้าดีต่อพวกเราเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะชนะแม่ทัพซ่งให้ได้”

“ถูกต้อง การต่อสู้คราวนี้มอบให้พวกเราจัดการเถอะ!”

ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน จู่ๆ ก็มีคนได้ยินเสียงตะโกนว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง”

เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นกวนเซี่ยวยืนอยู่นอกประตูเหล็กทันที

นางโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูเหล็ก

คาดเดาในใจว่ายาคงจะได้ผล แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายกวน วันนี้มาดูการฝึกทหารอีกแล้วรึ”

กวนเซี่ยวประกบมือคำนับ แล้วพูดว่า “มิใช่ ข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงโดยเฉพาะ”

“เอ๋ หรือว่าอาการปวดศีรษะของแม่ทัพเฒ่าบรรเทาลงแล้ว”

อินชิงเสวียนมองไปที่กวนเซี่ยวด้วยดวงตาโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่ง

แก้มของกวนเซี่ยวรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง หลังจากกินยาของกงกงเมื่อคืนนี้ ท่านปู่ของข้าก็หลับไปทั้งคืนจริงๆ เมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาก”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากจอมพลเฒ่าว่างเมื่อใด ขอให้คุณชายกวนช่วยจัดแจงให้ด้วย ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะให้จอมพลเฒ่าช่วยอธิบาน”

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่ชอบคนในวัง ข้าเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น ขอกงกงโปรดอย่าใจร้อน”

กวนเซี่ยวพูดอย่างมีไหวพริบมาก

อินชิงเสวียนใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้ว่าชายชราไม่ได้ไม่ชอบคนในวัง หากแต่ดูถูกขันทีต่างหาก

นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ในทุกราชสำนัก และเป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลง

อินชิงเสวียนถอนหายใจเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ขอเพียงข้าได้พบจอมพลเฒ่าก่อนการประลองก็พอแล้ว สิบห้าวันหลังจากนี้ ข้าต้องกลับวัง เกรงว่าจะออกมาได้ยาก”

“ได้ ในช่วงระหว่างนี้ข้าจะจัดแจงให้กงกงน้อยได้พบกับท่านปู่ของข้าแน่นอน”

ในขณะที่กวนเซี่ยวกำลังพูด เขาก็มองเข้าไปในประตูเหล็กหลายครั้ง เห็นว่าคนเหล่านี้ถือของที่มีผิวสีเขียวและเนื้อสีแดงกำลังแทะอย่างมีความสุข เขาก็กลืนน้ำลายเอื้อก

อินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้น พูดกับกวนเซี่ยวว่า “คุณชายรอสักครู่ ข้าจะไปเอาแตงโมมาให้ท่าน”

นางรีบกลับไปที่กลางลาน และถือแตงโมลูกใหญ่ออกมา

“เจ้าสิ่งนี้กินเปลือกไม่ได้ กินแต่เนื้อสีแดง ให้แช่น้ำเย็นก่อนกินจะดีที่สุด จะช่วยดับร้อนได้ได้”

กวนเซี่ยวเกรงใจไม่กล้ารับ แต่ร่างกายของเขาซื่อสัตย์เกินไป ได้ยื่นมือออกไปจับแตงโมแล้ว

“เช่นนั้น...ข้าไม่เกรงใจแล้ว”

อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากพูดกันตามตรง ครอบครัวของข้าก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับจอมพลเฒ่า คุณชายไม่ต้องเกรงใจเลย”

“เอ๋”

ก่วนเซียวกำลังจะถาม แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกีบม้าที่อยู่ข้างหลังเขา

ม้าหลายตัวควบมาจากระยะไกล

ม้านำตัวสูงและแข็งแรงมีขนสีดำราวกับหมึก ดูองอาจทรงพลังมาก เมื่อมองไปที่คนที่นั่งบนหลังม้า อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า

ทำเหตุใดเย่จิ่วอวี้มาที่นี่อีก!

คนข้างในกินแตงโมและองุ่น แต่นางไม่ได้มอบให้เย่จิ่งอวี้ นอกจากนี้อาหารจำพวกหมั่นโถว ผัดถั่ว เขาก็ยังไม่เคยกิน

ถ้าเกิดขุ่นเคืองด้วยเรื่องนี้...

ยังไม่ทันที่อินชิงเสวียนจะคิดจบ เย่จิ่งอวี้ก็มาถึงแล้ว

อินชิงเสวียนและกวนเซี่ยวคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

“ลุกขึ้น”

เย่จิ่วอวี้พลิกตัวลงจากม้า ด้วยท่วงท่าสง่างามราบกับนักรบ

เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นแตงโมขนาดใหญ่ในอ้อมแขนของกวนเซี่ยว

เมื่อวานสิ่งนี้อยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนมิใช่หรือ

หรือว่าขันทีน้อยแอบขโมยแตงโมของเขาออกมามอบให้กวนเซี่ยว

เมื่อนึกถึงท่าทางที่อินชิงเสวียนและกวนเซี่ยวพูดคุยสนิทสนมกัน ดวงตาของเขาพลันมืดมนอย่างช่วยไม่ได้

ความหนาวเย็นแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเย่จิ่งอวี้ กวนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

“ฝ่าบาท กวนเซี่ยวขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่วอวี้ส่งเสียงอืมในลำคอลึกๆ แล้วหันไปมองอินชิงเสวียน

ครั้นปรายหางตา ทันใดนั้นก็เห็นทหารในลานกำลังกินอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสีเขียว เนื้อสีแดง ดูผิวสีเขียวที่มีลวดลาย ซึ่งนั่นก็คือแตงโมจากสวนอวิ๋นเซียง

เย่จิ่วอวี้สลัดบังเหียนออก ผลักเปิดประตูเหล็กแล้วเดินเข้าไป

เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นฮ่องเต้ก็ต่างหวาดกลัวจนคุกเข่าลงกับพื้นไม่กล้าหายใจเข้า

เย่จิ่วอวี้เดินผ่านพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่อมองไปที่ร่มเงาข้างสนามหญ้า ก็ยังมีแตงโมสีเขียวลูกใหญ่อีกกว่ายี่สิบลูกตั้งกองอยู่ ใบหน้าของเขาพลันเขียวขุ่น

ในตอนนี้เอง พ่อครัวทหารได้ถือหมั่นโถวลูกใหญ่ออกมา และตะโกนว่า “ถึงเวลาอาหารแล้ว อาหารของวันนี้กำกับโดยเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเช่นเคย พวกเจ้า...”

เขายังไม่ทันพูดต่อว่า ‘เป็นบุญปาก’ เขาก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความกลัว

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

อีกคนหนึ่งถือกะละมังผัดถั่วฝักยาวมาถึงประตูก็ทรุดตัวลงคุกเข่าลงด้วย

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เย่จิ่วอวี้จ้องมองไปยังหมั่นโถวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เกร็งขึ้นทันที แล้วจึบขบกรามเป็นสันนูน

บอกว่าแป้งสาลีหายากมากมิใช่หรือ

ส่งเข้าวังก็มีเพียงไม่กี่ถังเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงทำอาหารมาได้หม้อเพียงนี้

สารเลว!

สารเลวยิ่งนัก!

เขารีบเดินเข้าไปในห้องทรมาน แล้วพูดอย่างเย็นชา “เสี่ยวเสวียนจื่อ ตามเราเข้ามา!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์