สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 103

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนซุกตัวอยู่หลังม้า ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ไหวน้อยๆ

ขันทีน้อยสารเลวคนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นบ่าวจริงๆ ถึงกลับออกจากวังเอาป่านนี้ เขาคงตามใจขันทีน้อยผู้นี้มากไปแล้วจริงๆ

แล้วก็ตระหนักได้อีกครั้ง ว่านี่เป็นคำอนุญาตจากตัวเอง จึงทำได้เพียงขบกรามกรอด แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด ขันทีที่ยกเกี้ยวก็ไม่กล้าหยุด แล้วขบวนคนกลุ่มใหญ่ก็เดินผ่านทั้งสามคนอย่างเอิกเกริก และตรงไปที่ตำหนักเฉิงเทียน

ฉินเทียนคิดว่าจะถูกดุสักคำ แต่ฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด เขาคงชอบเสี่ยวเสวียนจื่อมากจริงๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะมองสบตากับหลี่ฉี

อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเช่นกัน ไม่ว่าเย่จิ่งอวี้จะคิดอย่างไรก็ช่าง แค่เขาแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นนางก็พอแล้ว

“ไปกันเถอะ”

อินชิงเสวียนขึ้นหลังม้า แล้วพาฉินหบี่ทั้งสองไปที่สนามต่อสู้

ในตอนนี้เอง เย่จิ่วอวี้ก็มาถึงตำหนักเฉิงเทียนแล้ว

เขาเดินช้าๆ เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม ใบหน้าคมสันดุดันราวกับดาบแสดงให้เห็นถึงความน่าครั่นคร้ามของฮ่องเต้

สวีจือย่วนกำลังเดินไปมาในห้อง นางต้องการทูลลากลับ แต่นางกลัวว่าฮ่องเต้จะตำหนินาง นางจึงต้องรอให้เขาเลิกประชุมเช้าอยู่ที่นี่

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สวีจือย่วนก็เงยหน้าขึ้น แล้วร่างสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏขึ้น นางตื่นตระหนกและคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”

“ลุกขึ้น วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เย่จิ่วอวี้มองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“กราบทูบฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว กำลังเตรียมตัวกลับหอสุ่ยอวิ้น ขอทรงอนุญาตด้วยเพคะ”

เย่จิ่วอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ไปกินมื้อเที่ยงก่อนค่อยไปเถิด”

“เอ่อ…” สวีจือย่วนกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ไม่อยากเก็บไว้

เย่จิ่วอวี้พูดอย่างอบอุ่น “งั้นก็เอาเช่นนี้ ประเดี๋ยวเรามีเรื่องจะถามเจ้า เราจะกลับไปเปลี่ยนชุดลำลองในตำหนักก่อน เจ้ารอที่นี่ก่อน!”

หลี่เต๋อฝูพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “นี่เป็นเกียรติของนายหญิงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทรั้งให้เสวยด้วย นายหญิงยังไม่รีบขอบพระทัยอีก”

สวีจือย่วนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโค้งคำนับและพูดว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยสำหรับน้ำพระทัยของฝ่าบาท”

“ตามสบาย”

เย่จิ่วอวี้สะบัดฉลองพระองค์ แล้วเดินออกไป

เสี่ยวเสวียนจื่อและผู้อื่นกำลังรอเปลี่ยนชุดลำลองอยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว

เมื่อเห็นเขา เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงอินชิงเสวียน

ถามเบาๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อนอนตื่นเมื่อใด”

เสี่ยวเสวียนจื่อไม่กล้าโกหก ดังนั้นเขาจึงก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ราวๆ ยามซื่อพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินว่าเย่จิ่วอวี้ไม่ได้พูดอะไร ก็คิดว่าเขาหงุดหงิดแล้ว จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที พูดอย่างกล้าหาญ “หลายวันนี้เสี่ยวเสวียนจื่อทั้งยุ่งอยู่กับการทำเกษตรในเขตชานเมือง และไปฝึกทหารที่ค่ายทหาร เขาเหนื่อยมากจริงๆ จึงนอนหลับถึงยามนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะประทานอภัย”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเสี่ยวอานจื่อ แล้วกล่าเบาๆ “เหตุใดเจ้าถึงแก้ต่างแทนเขาถึงเพียงนี้ หรือเขามีผลประโยชน์ให้เจ้า”

จู่ๆ เสี่ยวเสวียนจื่อก็เหงื่อออก คุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้า”

“ลุกขึ้น”

เย่จิ่วอวี้เพียงแค่ถามส่งๆ ไม่มีเจตนาที่จะลงโทษผู้ใด

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เสี่ยวอานจื่อลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างรวดเร็ว

เย่จิ่วอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ เท้าแขนกับเก้าอี้ไม้หนานมู่สีทองที่แกะสลักเป็นรูปมังกร

หลี่เต๋อฝูช่วยเย่จิ่งอวี้ถอดมงกุฎฮ่องเต้ออกอย่างระมัดระวัง วางไว้ข้างๆ ด้วยความเคารพ จากนั้นจึงหันไปหาเขา ช่วยเย่จิ่งอวี้ถอดฉลองพระองค์ และปลดเข็มขัดของเขา

เย่จิ่งอวี้มองไปที่เสี่ยวอานจื่อที่ถือถาดอยู่ และทันใดนั้นก็จำได้ว่าเขาเคยพบกับแม่และลูกๆ ของ อินชิงเสวียน จึงถามเรื่อยเปื่อย “แม่ของเสี่ยวเสวียนจื่อเป็นเช่นไร ลูกของเขาอายุเท่าใดแล้ว”

เสี่ยวเสวียนจื่อกายตอบตามความจริง “หลิวเหล่าไท่ไท่ใจดีมาก เด็กทั้งสามก็เชื่อฟังมาก คนโตดูเหมือนอายุสิบสองหรือสิบสามปี และน้องคนเล็กอายุประมาณห้าหรือหกขวบ”

เย่จิ่วอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “อย่างมากเสี่ยวเสวียนจื่อมีอายุไม่เกินยี่สิบปี หรือว่าเขาแต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุไม่เท่าใด”

“กระหม่อมก็ถามเสี่ยวเสวียนจื่อแล้ว เขาบอกว่าเขาดูเด็ก แต่จริงๆ แล้วเขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว”

“แล้วภรรยาของเขาล่ะ อยู่บ้านด้วยหรือไม่”

เสี่ยวเสวียนจื่อถอนหายใจอย่างปลงๆ “ได้ยินมาว่าหนีไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงหญิงชราและลูกสามคน ช่างน่าสงสารนัก”

คิ้วของเย่จิ่วอวี้ขมวดขึ้นอีกเล็กน้อย

เหตุใดยิ่งข้าฟังมากเท่าใด ความน่าเชื่อถือก็น้อยลงเท่านั้น เขาจึงโบกมือ

“ไปเรียกสวีจือย่วนมาหาเรา”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวีจือย่วนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

“หม่อมฉันน้อมคำนับฝ่าบาท”

เย่จิ่วอวี้ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว ด้วยชุดคลุมผ้าแพรสีเขียวใบไผ่ ซึ่งทำให้เขาดูโดดเด่นและหล่อเหลา ศีรษะม้วนขึ้นด้วยปิ่นกลัดมวยผมหยกหยกเรียบๆ และทุกท่วงท่ากิริยาของเขา แสดงให้เห็นถึงความสง่างามแห่งราชา

“นั่งลง”

น้อยนักที่จะเห็นฝ่าบาทอ่อนโยนกับสตรีเพียงนี้ หลี่เต๋อฝูโบกมือให้เสี่ยวอานจื่อกับผู้อื่นทันที และถอนตัวออกไปอย่างเงียบๆ

ในห้องเหลือเพียงสองคน ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ทำให้สวีจือย่วนสั่นสะท้านไปทั้งตัว การหายใจติดขัด

พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดเพคะ”

“อย่ากังวลไป เราแค่อยากถามเจ้าว่า ตอนเด็กเจ้าเคยไปวัดเฉิงหวงในเขตชานเมืองหรือไม่”

สวีจือย่วนไม่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงถามถึงเรื่องนี้ นางจึงคิดและพูดด้วยท่าทีเคารพ “ดูเหมือนว่าข้าจะไปที่นั่นกับท่านแม่เมื่อตอนที่วัดยังอยู่ในช่วงรุ่งเรือง แต่ต่อมาเมื่อถูกทิ้งร้าง หม่อมฉันก็ไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย”

เย่จิ่วอวี้หรี่ตาลง หัวใจเกิดคลื่นแปลกๆ

วันนั้นตอนที่เขาพบกับเด็กหญิงตัวเล็ก วัดเฉิงหวงได้ถูกปล่อยร้างไปแล้ว แต่สวีจือย่วนบอกว่านางไม่เคยไปที่นั่นหลังจากนั้นเลย หรือว่าเขาจำคนผิด

จากนั้นก็คิดอีกครั้ง ตอนนั้นสวีจือย่วนอายุเพียงไม่กี่ขวบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะจำบางเรื่องไม่ได้

“บิดาของเจ้ามีตำแหน่งใด”

สวีจือย่วนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “กราบทูลฝ่าบาท บิดาของหม่อมฉันก็คือสมุหพระอาลักษณ์”

เย่จิ่วอวี้พยักหน้า

“ขุนนางขั้นสาว นับว่าไม่เลว”

สวีจือย่วนไม่รู้จะตอบอย่างไร นางก้มหน้าลงไม่พูดอะไรเลย

สายตาของเย่จิ่วอวี้มองกวาดใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดเซียวของสวีจือย่วน แล้วถามว่า “ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าประสงค์สิ่งใด”

“ไม่มีเพคะ หม่อมฉันอยากกลับแล้ว เมื่อคืนไม่ได้กลับทั้งคืน สาวใช้คงเป็นกังวลแล้ว”

สวีจือย่วนก็ยืนขึ้นทันทีที่พูดจบ

เย่จิ่วอวี้เลิกคิ้วแล้วถาม “ไม่อยากกินข้าวกับเราจริงหรือ”

“หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่หิวเคะ”

เมื่อเห็นนิ้วของสวีจือย่วนสั่นเทา เย่จิ่งอวี้ก็ส่ายหน้า

นางขี้ขลาดถึงเพียงนี้ ต้องไม่ทำให้นางกลัว

ถึงอย่างไรอนาคตยังอีกยาวไกล ตัวเองรอมาสิบปีกว่าแล้ว ตอนนี้ก็รออีกไม่เท่าใดแล้ว

“เสี่ยวอานจื่อ ไปส่งนายหญิงสวีกลับเถอะ”

เสี่ยวเสวียนจื่อรีบวิ่งเข้ามาโค้งกาย

“เชิญนายหญิงสวี”

หลังจากที่สวีจือย่วนจากไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็หมดความอยากอาหาร

หลังจากเดินกลับไปกลับมาในห้องสองรอบ จู่ก็นึกถึงอยากไปที่สนามฝึก

สิ่งที่ทหารม้าต้องให้ความสำคัญคือบั้นเอวกับม้าต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พลังงานที่ไหลผ่านแขนเพื่อให้สามารถจัดการกับท่วงท่าการสังหารของคู่ต่อสู้ได้ ขันทีน้อยยังไม่เคยต่อสู้ด้วยม้า เขาจะฝึกฝน ทหารม้าได้งั้นหรือ

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว จู่ๆ เย่จิ่วอวี้ก็อยากจะไปดูที่สนามฝึก

เขาหันกลับไปบอกหลี่เต๋อฝู “ไปเตรียมม้า เราจะออกจากวัง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์