“ผู้เยาว์ไม่เคยพบกับเจ้าตำหนักเลย ได้ยินจากผู้อาวุโสหันว่า เจ้าตำหนักเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในตำหนัก คือเขาแต่เพียงผู้เดียว”
“หลายปีมานี้ เขาไม่เคยออกมาเลยหรือ”
เหมยชิงเกอค่อนข้างประหลาดใจ
อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “คงเป็นเช่นนั้น”
ว่ากันว่าการประลองยุทธ์ครั้งล่าสุดกับอิ๋นเฉิง เจ้าตำหนักได้รับบาดเจ็บ เมื่อก่อนก็เคยเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยกินเวลานานกว่าสามเดือน หรือว่า...
“ผู้อาวุโสเหมยคิดอะไรอยู่หรือเปล่า”
อินชิงเสวียนทิ้งเปลือกแตงโม แล้วหยิบชิ้นใหม่ขึ้นมา
การได้ทำความรู้จักกับเหมยชิงเกอด้วยวิธีนี้เป็นเรื่องดีทีเดียว
แม้ว่านางจะไม่ใช่เหมยชิงเกอ แต่ก็เห็นใจที่นางต้องทนทรมานนานนับสิบปี แค่อยู่ที่ผาเฟิงเริ่นเพียงครู่เดียว ก็หนาวจนแทบทนไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นเหมยชิงเกอที่ถูกขังมานานขนาดนั้น การที่นางพูดคุยกับตัวเองอย่างเป็นปกติได้ขนาดนี้ ไม่เกรี้ยวกราดจนสุดโต่ง ก็ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว
ระหว่างตำหนักเทพกับอิ๋นเฉิงก็ซับซ้อนพอแล้ว ถ้าเพิ่มแม่ที่บ้าคลั่งไปอีกคน นางคงจะปวดหัวจนหัวโตยิ่งกว่านี้เป็นสองเท่า
“เปล่า”
เหมยชิงเกอไม่อยากพูดอะไรกับอินชิงเสวียนมากเกินไป ซึ่งนางย่อมไม่ต้องการให้ลูกสาวเพียงคนเดียวต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ในเมื่อผู้อาวุโสหันไม่สามารถเข้ามาในมิติได้ เช่นนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็ไม่มีอันตราย ด้วยวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมของแม่นางอิน การไปจากตำหนักเทพคงไม่ใช่เรื่องยาก ข้าสามารถบอกวิธีเปิดค่ายกลผนึกภูเขาได้ พวหเจ้าควรรีบไปดีกว่า ลูกยังเด็กนัก ให้อยู่ห่างจากพ่อไม่ได้”
หลังจากที่เหมยชิงเกอพูดจบ ก็หันศีรษะมองไปที่เสี่ยวหนานเฟิงที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนบ้านลมปราสาท
เมื่อคิดถึงลูกสาวของตัวเองที่ถูกพ่อไล่ฆ่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด นางก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแรงๆ
ดวงตาของอินชิงเสวียนเย็นชาเล็กน้อย
“ไม่ได้ ข้าจากไปแบบนี้ไม่ได้ ทำแบบนั้นจะไม่สาสมกับความชั่วร้ายของโจรเฒ่าอาวุโสหันเกินไป ถึงข้าจะต้องการจากไปมาเพียงใด ก็ต้องเปิดเผยโฉมหน้าอันชั่วร้ายของเขาต่อสาธารณชนให้ได้”
เหมยชิงเกอรีบกล่าวขึ้นโดยเร็ว “แม่นางอินอย่าหุนหันพลันแล่น ผู้อาวุโสหันมีวรยุทธ์แข็งแกร่งมาก บรรลุถึงขั้นสูงสุดมานานแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา คนผู้นี้เก่งเรื่องการยุยงปลุกปั่น กลับดำเป็นขาว ดีไม่ดี แม่นางอินจะกลายเป็นเป้าโจมตีของสาธารณชน”
อินชิงเสวียนกระตุกมุมปากขึ้น แววตาเจ้าเล่ห์ฉายแสงวาววับในดวงตากลมโต
“ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องการจากข้า ไม่กล้าทำอะไรข้าแน่ ตอนนี้เขาพึ่งพาอาคันตุกะเหล่านั้นของตำหนักเทพมากที่สุด อาคันตุกะยังเคารพนับถือโจรเฒ่าผู้นั้นมาก ตราบใดที่ความเชื่อมั่นของพวกเขาถูกทำลาย คนพวกนี้จะจากไปแน่นอน บางทีเราอาจจะยืมมือของพวกเขากำจัดโจรเฒ่านั่นได้ก็ได้”
เหมยชิงเกอถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีแผนอยู่แล้ว?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...