แม้ว่าเย่จั้นมีหลายสิ่งที่อยากจะถาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามคำถาม จึงตามเย่จิ่งอวี้ออกไป
ประตูหินหนักปิดลงทันที แสงในห้องก็หรี่มัวลง
เมื่อไม่มีแสงแดดที่ส่องประกาย อินหลีก็รู้สึกเขินอายน้อยลง รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
นางมองหญิงสาวคนนี้ที่ดูค่อนข้างคล้ายกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่นาง เจ้าคือ...”
นางมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหน”
อินชิงเสวียนหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงหินออกมา แล้วพูดกับอินหลี “แม่นางใส่เสื้อผ้าก่อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง”
อินหลีก้มศีรษะลง ครั้นจึงตระหนักว่าน้ำในถังนั้นเหมือนกับน้ำโคลน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
“นี่...ข้า...ข้าไม่ได้สกปรกขนาดนั้น”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางสะอาดอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งสกปรกบนร่างกายของท่าน แต่เป็นความขุ่นมัวของพลังยุทธ์ที่ระบายออกจากร่างกายของท่าน หากต้องการอธิบายในแง่ของวรยุทธ์ จะเรียกว่าการชำระวิญญาณล้างไขกระดูกก็ได้”
อินหลีเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางเคยได้ยินพ่อและพี่ชายพูดว่า การบรรลุวรยุทธ์ระดับสูงสุดคือการชำระวิญญาณล้างไขกระดูก นางไม่รู้วรยุทธ์ แล้วจะมาถึงระดับนี้ได้อย่างไร
แล้วนางมาที่นี่ได้อย่างไร
ความคิดของอินหลีหยุดที่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่นางและแม่ชีหลายคนจากสำนักชีไปที่เมืองหลวงเพื่อซื้ออาหาร แต่ไม่รู้ทำไม ภาพเบื้องหน้ามืดลง แล้วนางก็ไม่รู้อะไรเลย
ในความเห็น เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า เพียงชั่วพริบตา เวลาจะผ่านไปหลายปีขนาดนี้
เมื่อมองดูเสื้อผ้าบนตัว นางก็แปลกใจอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่จะสวมใส่ประจำ มีแค่เสื้อคลุมแม่ชีสีเทา ทำไมทุกอย่างถึงเปลี่ยนไปในทันที
“ชุดสีขาวนี้ เป็นแม่นางที่เปลี่ยนให้ข้าหรือ หรือว่าแม่นางช่วยข้าไว้”
เมื่อเห็นท่าทางสง่างามไม่ธรรมดาของอินชิงเสวียน อินหลีก็เริ่มระมัดระวังตัวน้อยลง
ครั้นมองดูดวงตาคู่นั้นที่ใสราวกับน้ำนิ่ง อินชิงเสวียนก็รู้ว่าอินหลีเป็นคนที่เรียบง่ายมาก บางคนอาจเสแสร้งแกล้งทำได้ แต่สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตา ไม่สามารถหลอกลวงใครได้
“เรื่องมันยาวน่ะ แม่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน เรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆ คุยกันก็ยังไม่สายเกินไป”
อินหลีพยักหน้าอย่างว่าง่าย ยืนขึ้นจากถัง หยิบเสื้อผ้าเดินไปที่มุมห้อง และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
อินชิงเสวียนเก็บถังไม้และน้ำพุวิญญาณเข้าไปในมิติโดยตรง ในเวลาเดียวกันก็เปิดการเชื่อมโยงกับมิติ มองดูเจ้าเด็กน้อยหลับไปบนบ้านลมปราสาท
เมื่อเห็นเขายื่นก้นเล็กๆ ออกมา ดวงตาของอินชิงเสวียนก็ฉายแววเมตตา เป็นเด็กน้อยที่รู้ความจริงๆ
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหายไปหมด อินหลีก็ตกใจอีกครั้ง ถอยกลับไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าอันงดงามหยาดเยิ้มของอินชิงเสวียน กลายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจในสายตาของนางทันที
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอาหญิงไม่ต้องกลัว จริงๆ แล้วข้าเป็นหลานสาวของท่าน อินชิงเสวียน”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
ทันใดนั้นอินหลีก็รู้สึกราวกับว่าถูกฟ้าผ่า ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
สำหรับนาง ประโยคนี้ไม่ต่างจากความเพ้อฝัน
แม้ว่านางจะออกจากตระกูลอินตั้งแต่นางอายุไม่กี่ขวบ แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดการติดต่อกับตระกูลอินโดยสิ้นเชิง พี่สะใภ้มักจะไปเยี่ยมแม่ชี นำอาหารมาให้นาง แล้วเล่าให้นางฟังในภายหลังว่าเกิดอะไรขึ้น และเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโลกนี้
ดังนั้นอินหลีจึงรู้ว่าพี่สะใภ้กำลังตั้งครรภ์ ยังได้ยินจากนางด้วยว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิง ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ก็ตัดสินใจเลือกชื่อสำหรับเด็กที่อาจจะเป็นหญิงสาว และเรียกนางว่าอินชิงเสวียน
หลังจากที่อินชิงเสวียนเกิดมา นางเคยเจอหน้าหลายครั้ง แม่หนูน้อยในความทรงจำของนาง มีผมเปียเล็กๆ สองข้าง ดอกไม้ผ้าไหมสีชมพูผูกติดที่เปียแต่ละข้าง ท่าทางไร้เดียงสาน่ารัก มีบุคลิกที่สง่าผ่าเผย แม้จะไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนแล้ว แต่นางก็คงเติบโตขึ้นบ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะโตขนาดนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...