เมื่อฟังคำรักอันหวานซึ้งของฮ่องเต้หนุ่ม อินชิงเสวียนรู้สึกอ่อนหวานในใจ
“อาอวี้ ขอบคุณนะ”
เย่จิ่งอวี้ก้มศีรษะลง แล้วลูบปลายจมูกของอินชิงเสวียนเบาๆ
“เด็กโง่ เกรงใจข้าทำไม เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนเร็วเถอะ”
เขานอนลงข้างๆ อินชิงเสวียน โอบหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขน
อินชิงเสวียนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่จิ่งอวี้เหมือนลูกแมว นางอ้าปากหาว
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะนอนจริงๆ แล้วนะ”
“นอนเถอะ พักผ่อนดีย่อมเป็นผลดีต่อลูก”
เย่จิ่งอวี้รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินหญิงสาวพูดอะไรอีก ฟังเสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอของนาง จึงรู้ว่านางผล็อยหลับไปแล้ว
เขาลูบหลังนางเบาๆ เหมือนลูบหลังเด็ก อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของลูกสาวในอนาคต
คงผิวขาวราวไข่ปอกเหมือนนาง เฉลียวฉลาดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายแบบไหนจะคู่ควรกับลูกสาวที่รักของเขา
เมื่อนึกถึงว่าในอนาคตต้องส่งมอบลูกสาวที่เขาฟูมฟักเลี้ยงดูมานานหลายปีให้กับชายแปลกหน้าคนอื่น เย่จิ่งอวี้รู้สึกตงิดๆ ใจ
เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวแต่งงาน เว้นแต่อีกฝ่ายคือชายที่นางรักอย่างสุดซึ้ง ไม่งั้นใครก็อย่าคิดจะมาแหย็ม
หลังจากคิดฟุ้งซ่านอยู่พักหนึ่ง เขาก็หลับไปอย่างงุนงง
ราวๆ ตีหนึ่งถึงตีสาม เสียงกรีดร้องชนิดหนึ่งได้ทำลายความเงียบสงบของค่ำคืน
เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกัน ผุดลุกขึ้นนั่งทันที ไป๋เสวี่ยก็เห่าหลายครั้ง
เย่จิ่งอวี้ถกผ้าห่มผืนบางขึ้น และในพริบตาเขาก็มาถึงลานบ้าน
อินชิงเสวียนสวมเสื้อป้ายตัวใน แล้วรีบตามไปติดๆ
“มีอะไรหรือ”
“ไม่รู้สิ เหมือนมีคนกรีดร้อง”
ทันทีที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีก อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้ว
“อาอวี้ เราควรไปดูกันไหม”
“ได้”
เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในมิติ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงไม่กังวล ทั้งสองใช้วิชาตัวเบา พุ่งไปยังทิศทางที่มาของเสียงทันที
พวกเขาทั้งสองหยุดอยู่ที่สี่แยกของเมืองเล็ก ชาวยุทธ์สามคนที่เคยหาเรื่องเฉิงเฟิ่งโหลวเมื่อตอนกลางวัน ต่างนอนล้มกลิ้งอยู่กับพื้น แต่ละคนมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก สภาพเหมือนคนตาย
“นี่คือ...”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะปิดจมูก กลิ่นคาวเลือดทำให้นางพะอืดพะอม
เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ตรงหน้านางทันที บดบังสายตาให้นางอย่างใส่ใจ
“ถ้าเสวียนเอ๋อร์รู้สึกไม่สบาย ก็อย่าดูเลย พวกเขาล้วนเป็นคนไม่สำคัญอยู่แล้ว”
เล่าเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันให้อินชิงเสวียนทราบ อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ดังนั้น สามคนนี้ก็สมควรตายแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นกรรมตามสนอง อาอวี้ กลับไปกันเถอะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้า เอื้อมมืออุ้มอินชิงเสวียนขึ้นมา และกลับไปที่เรือนเล็ก ซึ่งขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีขาวเงินจางๆ แล้ว
อินชิงเสวียนยังคงง่วงนอน นางหาวสองครั้งติด
เย่จิ่งอวี้วางนางลงบนเตียงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “เสวียนเอ๋อร์นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
อินชิงเสวียนง่วงเกินกว่าจะลืมตาได้ ส่งเสียงอืมในลำคอ และกอดผ้าห่มหลับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...