สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 122

จอมพลเฒ่ากวนพยักหน้า

“หลังจากที่พี่ชายของเจ้าหายตัวไป ข้าก็ได้เขียนจดหมายตัดสัมพันธ์กับภรรยา ถึงองค์ชายสิบสามซึ่งประจำการอยู่เมืองซุ่ยหาน แต่ข้าไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับ ข้าส่งคนไปที่นั่นด้วยตัวเอง แต่กลับไม่มีร่องรอยของเขาเลย”

เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “อีกไม่นานก็จะถึงวันครบรอบวันเกิดห้าสิบปีของไทเฮา องค์ชายสิบสามน่าจะกลับมาเมืองหลวงเพื่ออวยพระพรให้แก่ไทเฮา ถึงตอนนั้นข้าจะสอบถามเขาเอง”

อินชิงเสวียนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “องค์ชายสิบสามคือผู้ใด หรือว่าเป็นน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท?”

จอมพลเฒ่ากวนพูดว่า “ไม่เป็นเช่นนั้น องค์ชายสิบสามคือน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นเสด็จอาของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน สกุลเย่ นามว่าจั้น”

อินชิงเสวียนร้องเสียงอ๋อ และถามขึ้นอีกว่า “ในเมื่อเป็นเสด็จอาของฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องประจำการในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้?”

จอมพลเฒ่ากวนส่ายหัวไปมา

“ได้ยินว่าพระองค์ทรงอยากไปเอง เรื่องในราชวงศ์ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนนัก”

จากนั้นก็กำชับอีกว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เจ้าต้องรักษาชีวิตที่เหลืออยู่ อย่าทำเรื่องที่โง่เขลาเด็ดขาด ไม่แน่ว่าตระกูลอินอาจยังมีโอกาสในขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ หากว่าพบเจอเรื่องที่ทำไม่ได้จริงๆ ก็มาหาข้าที่จวนได้”

จอมพลเฒ่าหยิบหยกเลือดไก่สีแดงออกมาจากหน้าอกหนึ่งชิ้น และยื่นให้กับอินชิงเสวียน

“เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนตระกูลกวนก็จะช่วยอย่างสุดกำลังแน่นอน”

อินชิงเสวียนลูบหยกที่ยังคงมีความอุ่นของร่างกาย จู่ๆ ก็รู้สึกหน่วงที่โพรงจมูก

เมื่อเห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาบนใบหน้าของจอมพลเฒ่า ซึ่งถึงวัยที่ควรมีชีวิตบั้นปลายที่สงบสุขได้แล้ว แต่เขายังคงยุ่งอยู่กับเรื่องของครอบครัวลูกศิษย์ และดวงตาก็แดงขึ้นกะทันหัน

จอมพลเฒ่าได้ลุกขึ้นและพูดอย่างราบเรียบว่า “การร้องไห้ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือปิดบังตัวตนให้ดี วางแผนแล้วค่อยลงมือ สุราจอกนี้ข้าขอก็แล้วกัน”

เมื่อมองท่าทางเดินกะเผลกของจอมพลเฒ่า อินชิงเสวียนรีบลุกขึ้น และและโค้งคำนับตามเงาหลังของจอมพลเฒ่าด้วยความเคารพ

จากนั้นก็รีบย่างเท้าออกจากโรงเตี๊ยม พลิกตัวขึ้นมาและตรงไปยังสนามฝึก

เงาลับๆ ล่อๆ เดินตามอินชิงเสวียนไม่กี่ก้าว ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในซอยมืดด้านหนึ่ง

เมื่อเดินขึ้นๆ ลงๆ คนผู้นั้นก็มาถึงบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง หน้าต่างรอบด้านถูกปิดไว้ด้วยผ้าสีดำ แสงด้านในมืดมิดเป็นอย่างมาก

คนคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ และถามอย่างใจเย็น “เจ้าติดตามกวนฮั่นหลินมาหลายวันแล้ว พบเห็นสิ่งใดบ้าง?”

ชายคนนั้นพูดด้วยความเคารพ “มีบางสิ่งจริงๆ ขอรับ วันนี้กงกงน้อยที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทไปพบกับกวนฮั่นหลิน แต่ในโรงเตี๊ยมเสียงดังวุ่นวาย ข้าน้อยจึงไม่ได้ยินว่าพูดสิ่งใดกัน”

“ขันทีน้อยคนไหน”

เสียงของคนคนนั้นนิ่งสงบดั่งสายน้ำ ฟังไม่ออกว่าอารมณ์เป็นอย่างไร

“คือเสี่ยวเสวียนจื่อที่ฝึกซ้อมทหารในสนามฝึกช่วงนี้ขอรับ”

“อ้อ?”

คนคนนั้นหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเขายังคงซ่อนอยู่ในความมืด

“เขาไปพบกวนฮั่นหลิน! หรือฮ่องเต้น้อยต้องการสืบเรื่องของตระกูลอิน? เหอะ น่าสนุกดีเหมือนกัน!”

คนส่งข่าวไม่กล้าพูด และไม่กล้าเงยศีรษะ

หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็พูดอย่างราบเรียบ “จับตาดูต่อไป หากมีใครไปยังเมืองซุ่ยหาน ฆ่าทิ้งทันที”

“ขอรับ”

ชายหนุ่มผู้ส่งข่าวทำความเคารพ และรีบเดินออกไปอย่างว่องไว

ชายคนนั้นยืนอยู่ในห้องสักพักหนึ่งแล้วเปิดทางลับข้างๆ จากนั้นเขาก็หายตัวไป

ทางด้านของอินชิงเสวียนได้กลับถึงสนามฝึกแล้ว

ตลอดทางที่เร่งรีบ ทำให้ใจของนางค่อยๆ สงบลงเป็นปกติ

นางไม่เชื่อว่าท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมจะก่อกบฏได้ แต่ว่าหลักฐานปรากฏชัด หากต้องการเริ่มสืบสวนใหม่ตั้งแต่ต้น อาจไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนแน่นอน

ยังมีอินสิงอวิ๋นผู้นั้นที่กลับเมืองหลวงอย่างกะทันหัน สรุปว่าเป็นเพราะแรงจูงใจอะไร และออกจากจวนจอมพลได้อย่างไร

เรื่องทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน

ความทรงจำที่ได้รับจากเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ครบถ้วน จำอะไรหลายๆ อย่างไม่ได้ เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอองค์ชายสิบสามกลับมา เพื่อจะได้รู้ว่าท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมอยู่ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และขี่ม้ากลับไปยังสนามฝึก

ฉินเทียนและหลี่ชีกำลังมองไปที่ประตูเหล็ก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนกลับมาก็โล่งใจในทันที

หากว่าเสี่ยวเสวียนจื่อหนีหายไป พวกเขาสองคนต้องถูกปลิดหัวแน่

“ขอโทษด้วยจริงๆ ข้ามัวแต่คุยกับท่านแม่อยู่พักหนึ่ง จึงเสียเวลาไปหน่อย”

ฉินเทียนยิ้มและพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว อีกสักครู่พวกเราก็ควรกลับกันได้แล้ว”

“ขอรับ”

อินชิงเสวียนมีเรื่องมากมายอยู่ในใจและไม่ได้อยู่ในอารมณ์

เมื่อกำชับจังเถี่ยและสวีเหลียงไม่กี่คำ ก็กลับวังพร้อมกับสองคนนั้น

ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ คาดว่าฝ่าบาทยังอยู่ที่ห้องหนังสือ

อินชิงเสวียนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจนำของไปขายก่อน จากนั้นค่อยไปพบไทเฮา

หลังจากส่งม้าให้กับคนวังแล้ว นางก็รีบนำเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นใน และแผ่นแปะรอยสักไปให้พระสนมสองคนที่จองไว้ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

ดูท่าทางทั้งสองคนจะสนิทกันไม่น้อย และกำลังสนทนาพาทีกันอยู่ อินชิงเสวียนจึงไม่ต้องไปสองรอบ

“สองวันนี้มัวยุ่งกับธุระของฝ่าบาท จึงไม่มีเวลามา ให้พระสนมทั้งสองรอเสียนานเลยขอรับ”

เมื่อเห็นว่าเป็นอินชิงเสวียน ทั้งสองก็ลุกขึ้นด้วยความดีใจในทันที

“ไม่นาน ไม่นาน เจ้ามาก็ดีเลย”

อีกคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่อาจรอได้ “ของที่พวกเราอยากได้ กงกงน้อยนำมาทั้งหมดใช่หรือไม่?”

“นำมาทั้งหมดขอรับ”

อินชิงเสวียนหยิบชุดชั้นในที่อยู่ในอ้อมแขนออกมาทั้งหมด

ทั้งสองเลือกแล้วเลือกอีก แต่ละคนเลือกไปสองชุด

“ครั้งหน้านำชาดทาปากหลายๆ ตลับและน้ำหอมมาให้พวกเราหน่อย พวกเราอยากลองดูบ้าง”

อินชิงเสวียนรับเงินอย่างอารมณ์ดี

“แน่นอนขอรับ หากค่ำวันมะรืนพอมีเวลาว่าง ข้าจะนำมาส่งให้พระสนมทั้งสอง”

“ได้ เช่นนั้นเราสองพี่น้องจะรอเจ้านะ”

หลังจากที่ทั้งสองพูดก็ไปดูชุดชั้นในของพวกนาง อินชิงเสวียนจึงออกจากวังไปอย่างรู้งาน เมื่อพบสถานที่ที่ไม่มีคนก็วางของทั้งหมดกลับเข้าไปในมิติ และรีบควักมือถือสับปะรดออกและมองดูวังเย็น

อวิ๋นฉ่ายกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงกล่อมนอนในเปล ขณะที่ยายหลี่กำลังถอนวัชพืชบนผักด้วยท่าทางสบายๆ

และเมื่อมองไปบนต้นไม้ ยังคงมีคนอยู่

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้หยุดเฝ้าสังเกตวังเย็นแม้ตัวเองจะจากไปแล้ว ดูท่าทางว่าเขายังคงสงสัยที่มาที่ไปของเสี่ยวหนานเฟิงอยู่

โคตรแม่งสิ อยากจับตาดูมากนักก็เชิญดูไปเลย อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง อย่าว่าแต่หยดเลือดเลย ต่อให้ต้องตรวจดีเอ็นเอนางก็ไม่กลัว

เมื่อคิดเช่นนั้น อินชิงเสวียนก็ยืดเอวและหลังขึ้นตรงอีกครั้ง

หาคนในวังสักคนเพื่อสอบถามทาง และจะไปยังตำหนักฉือหนิง

ไทเฮากำลังเล่นกับนกที่หน้าประตู ลู่จิ้งเสียนที่เบะปากอย่างแรงยืนอยู่ด้านข้าง

นับตั้งแต่วันนั้นไทเฮาไม่ได้หนุนหลังนางเพื่อต่อกรกับอินชิงเสวียน นางก็ไม่ได้มาเข้าเฝ้าอยู่หลายวันแล้ว

สองวันนี้ได้ข่าวว่าฝ่าบาทไปที่หอสุ่ยอวิ้นบ้าง ไปที่หอฉงฮวาบ้าง ไฟแห่งความอิจฉาในใจแทบจะลามไปแผดเผาลำคอ

ทุกครั้งที่ขอพบต่างก็ไม่ได้รับโอกาส จึงทำได้เพียงมาร้องอ้อนวอนต่อไทเฮาอยู่ที่นี่

“เสด็จแม่ ท่านช่วยข้าคิดหาทางหน่อยสิเพคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สาวงามพวกนั้นก็คงเหยียบขึ้นหัวข้าแล้วเพคะ”

ไทเฮาทำเสียงฮึดฮัด “เดิมทีข้ายังหวังให้เจ้ากำเนิดบุตรชายก่อน เพื่อให้ตระกูลลู่ของเรามีหน้ามีตา ไม่คิดว่าเจ้าจะทำให้น่าผิดหวังเช่นนี้ เจ้าคงไม่ให้ข้าผูกฮ่องเต้ไว้ที่เตียงของเจ้าหรอกนะ”

ลู่จิ้งเสียนกระทืบเท้าโหยง พูดด้วยความโกรธ “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรเพคะ หรือข้าต้องทำเลวระยำเช่นหญิงสารเลวของตระกูลอิน และวางยาฝ่าบาทเช่นนั้นหรือเพคะ?”

ไทเฮาพูดขึ้นเสียงเย็น “หากเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็ไม่ห้าม”

ลู่จิ้งเสียนหุบปากลงในทันที เมื่อมองเห็นแววตาแห่งความเกลียดชังที่มากขึ้นของไทเฮา

ไทเฮากวาดตามองนางและพูดขึ้นว่า “หากว่าเจ้าอยากได้รับความโปรดปราน ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธี”

ลู่จิ้งเสียนถามด้วยความตื่นเต้น “เสด็จแม่ สรุปว่ามีวิธีใดกันเพคะ?”

ไทเฮาพูดขึ้นอย่างเฉื่อยชา “เย่ไห่ถังเป็นน้องสาวฝาแฝดของฝ่าบาท เจ้าอยากพบฝ่าบาท อาจต้องใช้ความพยายามบางอย่างกับนางเช่นกัน”

เมื่อพูดจบก็ได้ยินชุยไห่ตะโกนว่า “ไทเฮา เสี่ยวเสวียนจื่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาหันตัวไปในทันที และพูดกับลู่จิ้งเสียนว่า “เจ้าออกไปก่อน”

“เสด็จแม่...”

ไทเฮาทำสีหน้าขรึม “ออกไป”

ลู่จิ้งเสียนจึงต้องออกไปโดยไม่มีทางเลือก ตอนที่เดินออกจากประตู ก็เดินผ่านอินชิงเสวียนพอดี จึงกัดฟันกรอดและจ้องมองนางด้วยความโกรธ

อินชิงเสวียนไม่ได้มองด้านข้าง จึงเหยียบเข้ากับเท้าของลู่จิ้งเสียน

ลู่จิ้งเสียนเจ็บจนร้องโอ๊ยออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้น อินชิงเสวียนก็เดินเข้าวังไปเสียแล้ว

จึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าด้วยความหยาบคาย “เจ้าขันทีสุนัข สักวันข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความเก่งกาจคือสิ่งใด!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์