สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 121

ณ โรงเตี๊ยมมีสุข

คุณชายน้อยที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว ถือสุราอู่เหลียงเย่หนึ่งขวดเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม

คนผู้นี้ก็คืออินชิงเสวียนที่ตั้งใจไปร้านเสื้อผ้าเพื่อซื้อชุด

ในเมื่อจอมพลเฒ่าชอบร่ำสุรา เช่นนั้นก็ต้องสนองความต้องการเสียหน่อย

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนสวมชุดภูมิฐาน ลูกจ้างก็รีบมาต้อนรับ

“คุณชายน้อย อยากสั่งอะไรขอรับ”

“ข้าหาคนก่อน อีกสักครู่จะสั่ง”

อินชิงเสวียนเดินมาถึงชั้นสอง และเห็นจอมพลเฒ่ากวนอยู่ตรงที่นั่งติดหน้าต่าง

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ในร้านจึงแน่นไปด้วยลูกค้า

อินชิงเสวียนลังเลเล็กน้อย พร้อมเดินเข้าไปถาม “ผู้อาวุโส ข้าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่”

แม้กวนฮั่นหลินจะเคยไปสนามฝึกอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สังเกตอินชิงเสวียนอย่างละเอียด

เขาในฐานะนักรบ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ขันทีเหล่านี้แทบไม่อยู่ในสายตาของเขา

เมื่อได้ยินว่าจะมีคนร่วมโต๊ะด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

อินชิงเสวียนพูดพลางยิ้มหวาน “ข้ามีสุราดี ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยากลองชิมหรือไม่”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนอุ้มขวดกระเบื้องสีขาวในมือ กวนฮั่นหลินเลิกเปลือกตาเล็กน้อย

“เจ้าอายุเพียงนี้ แต่รู้จักการชิมสุราแล้วหรือ สุราของโรงเตี๊ยมมีสุข ถือเป็นสุราที่ดีที่สุดในเมืองหลวง อย่าได้คิดว่าดื่มมาหลายขนาน และจะมาขายหน้าผู้รู้ของที่นี่ได้”

อินชิงเสวียนนั่งลงตรงข้ามกับเขา ยิ้มและพูดขึ้นว่า “การชิมสุราไม่เกี่ยวกับอายุ ดั่งคำที่กล่าวว่าภูผาสูงยังมีที่สูงกว่า สุราก็เช่นกัน สุราของข้าได้รับการขนานนามว่าเป็นปราชญ์ในสุรา และไม่อาจหาได้อีกในต้าโจว”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคุยโวได้เลิศเลอเช่นนี้ กวนฮั่นหลินยิ้มเยาะขึ้นมา พร้อมกับยกแก้วขึ้น

อินชิงเสวียนเปิดฝาขวดของสุราอู่เหลียงเย่ออก กลิ่นหอมเข้มข้นของสุราพรั่งพรูออกมาจากขวด กวนฮั่นหลินอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย

กลิ่นของสุรานี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย จึงเหลือบสายตาไปที่อินชิงเสวียน

เห็นเพียงเขาหยิบถ้วยเหล้าขนาดเล็กสีขาวคู่หนึ่งมาจากอ้อมแขน รินใส่ทั้งสองแก้ว ยิ้มแล้วถามว่า “ผู้อาวุโสอยากชิมหรือไม่?”

เมื่อมองดูสีใสที่แวววาว รวมทั้งรอยพริ้วไหวของสุราที่เป็นระลอกเล็กน้อยในแก้ว กวนฮั่นหลินรู้ในทันทีว่าเป็นสุราดี อดไม่ได้ที่จะสนใจเล็กน้อย

เพียงแต่เขาไม่เคยรู้จักเจ้าหนุ่มคนนี้มาก่อน ดื่มสุราของผู้อื่นโดยไม่ไตร่ตรอง ดูท่าจะไม่ค่อยดี

กลืนน้ำลายลงเอื๊อกๆ “ได้ของดีโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ช่างเถอะ”

“ไม่เป็นไรขอรับ ยากยิ่งที่จะมีผู้รู้เรื่องสุราเฉกเช่นท่านผู้อาวุโส ถือได้เป็นคนกันเอง หากท่านไม่รังเกียจ ดื่มกับข้าสักแก้วก็ได้นะขอรับ”

อินชิงเสวียนยื่นถ้วยเหล้าสีขาวออกไป

กวนฮั่นหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ เขาดื่มหมดแก้วในอึกเดียว

ความเผ็ดร้อนผ่านคอลงไป ในปากยังคงมีกลิ่นหอมกรุ่น จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยชื่นชมว่า “สุราดีจริงๆ ด้วย”

อินชิงเสวียนรินเหล้าให้กับกวนฮั่นหลินอีกครั้ง

“คำโบราณกล่าวว่าพบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย ยากยิ่งนักที่จะหาเพื่อนร่ำสุราอย่างผู้อาวุโส ต้องดื่มเพิ่มอีกสองแก้วเลยขอรับ”

กวนฮั่นหลินไม่เกรงใจ เมื่อยกลำคอขึ้นก็ดื่มลงไปอีกถ้วย มองอินชิงเสวียนด้วยความสบายตาไม่น้อยโดยทันที

“เจ้ามาหาข้า คงไม่ใช่เพื่อดื่มสุราง่ายๆ เช่นนี้แน่ พูดมาเถอะว่ามีสิ่งใดกันแน่?”

อินชิงเสวียนยิ้มอ่อนๆ เสียงเบาลงไม่น้อย

“ผู้อาวุโสช่างตรงไปตรงมาเสียจริง ข้าอยากถามถึงเรื่องราวในอดีตของตระกูลอิน ผู้อาวุโสกรุณาให้คำตอบด้วย”

กวนฮั่นหลินสีหน้าเปลี่ยนในทันที สายตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยของเขาก็ชัดเจนขึ้น มีความอาฆาตที่เบาบางอยู่ด้านใน และมือขวาของเขาก็จับชีพจรของอินชิงเสวียนราวกับสายฟ้าฟาด

“เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”

อินชิงเสวียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครในราชสำนักกล้าพูดถึงเรื่องของตระกูลอิน เมื่อถูกถามขึ้นอย่างลวกๆ เช่นนี้ กวนฮั่นหลินต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน

วันนี้ทำได้เพียงวางเดิมพันเท่านั้น

นางนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าราบเรียบดั่งสายน้ำ และยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเช่นเดิม “อัคราจารย์ ข้าคืออินชิงเสวียน”

นิ้วมือของกวนฮั่นหลินสั่นเทา และมองใบหน้าตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อ

ใบหน้าที่ไม่เหมือนผู้ชาย ช่างงดงามละเอียดอ่อน และช่างขาวผ่องเสียจริง

เพียงแต่มีข่าวลือว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน พระสนมวังเย็นสิ้นชีพแล้ว...

“ข้ารู้ว่าในใจอัคราจารย์ต้องมีความสงสัยเป็นแน่ เรื่องนี้ซับซ้อนจริงๆ หากอัคราจารย์เชื่อข้า พวกเราไปคุยกันที่อื่นก็ย่อมได้”

กวนฮั่นหลินชักมือกลับ ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอินชิงเสวียน

เพียงครู่เดียวก็พูดขึ้นว่า “เปลี่ยนที่คุยจะยิ่งสะดุดตา เจ้าพูดตรงนี้เลย หากเจ้าพูดผิดเพียงคำเดียว ข้าไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่”

อินชิงเสวียนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เช่นนั้นก็ได้”

นางพูดอย่างรวบรัด และเล่าด้วยเสียงแผ่วเบาว่าตนเองออกมาจากวังเย็นอย่างไร แต่งตัวเป็นขันทีน้อยได้อย่างไร และเรื่องที่ขอร้องให้กวนเซี่ยวช่วยเหลือ

“วันนั้นข้าและฝ่าบาทไปที่สนามฝึกด้วยกัน เมื่อเห็นอัคราจารย์ จึงอยากถามที่มาที่ไปให้แน่ชัด อัคราจารย์ได้โปรดกรุณาตอบข้าน้อยด้วย”

กวนฮั่นหลินจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพบกับขันทีน้อยรูปงามจริงๆ

“ยานั่นเจ้าก็เป็นคนให้ข้าใช่หรือไม่?”

อินชิงเสวียนพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าค่ะ ท่านพี่กวนบอกว่าเขาผสมยาลงในซุปลูกพลัม เมื่อรู้ว่าร่างกายของอัคราจารย์ดีขึ้นแล้ว ข้าน้อยจึงกล้ามาพบท่าน”

กวนฮั่นหลินเบิกสองตากว้าง และพูดขึ้นด้วยความไม่เชื่อ “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะใช้วิธีนี้ในการหนีออกมาจากวังเย็น”

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้น และใช้แรงคว้าคอเสื้อของอินชิงเสวียนไว้แน่น

อินชิงเสวียนรู้สึกเพียงว่ามีคนดึงคอเสื้อของนางไปด้านหลัง และมีสายลมเย็นๆ พัดออกมา นางสะดุ้งและเมื่อนางกำลังจะถามจอมพลเฒ่ากวนจอมพลเฒ่าก็นั่งลงเสียแล้ว

“เจ้าจริงๆ ด้วย”

อินชิงเสวียนประหลาดใจเล็กน้อย

กวนฮั่นหลินพูดว่า “เจ้ามีปานที่ไหล่ขวา เรื่องนี้ไม่มีทางผิดเพี้ยนแน่ ตอนที่เจ้ายังเด็ก ข้ายังเคยกอดเจ้าด้วยมือของข้าเองเสียด้วยซ้ำ...”

กวนฮั่นหลินถอนหายใจเบาๆ ราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง

อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรีบร้อนใจ

“เช่นนั้นท่านพ่อของข้า และท่านพี่ของข้า พวกเขากบฏจริงหรือไม่”

กวนฮั่นหลินกลับมามีสติอีกครั้ง ดวงตาที่สว่างไสวคู่หนึ่งกลับกลายเป็นขุ่นมัวอีกครั้งในทันที

เชาพูดเสียงแผ่วเบา “วันนั้นทหารวังพบจดหมายตอบกลับในบ้านของตระกูลอิน ขนนกสามเส้นด้านบนมีเพียงราชวงศ์แห่งแคว้นเจียงวูจึงจะมีได้ ของแบบนี้ยากที่จะลอกเลียนแบบ หากไม่มีความสัมพันธ์กับเจียงวูก็คงไม่มีจดหมายแบบนั้น”

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “ท่านพ่อของเจ้าเป็นลูกศิษย์โดยตรงของข้า ดังนั้นข้าจึงเชื่อในตัวเขาอย่างแน่นอน แต่อินสิงอวิ๋นท่านพี่ของเจ้ากลับหนีไปเมืองหลวงระหว่างทางลี้ภัย ถูกองครักษ์เงาของราชสำนักจับได้ ยอมรับว่าตระกูลอินไปมาหาสู่กับเจียงวู ฮ่องเต้น้อยให้ข้ารับผิดชอบในการเฝ้าสังเกตท่านพี่เจ้า โดยถือเป็นการให้เกียรติหน้าบางๆ ของข้า กลับไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าออกตามหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอยของท่านพี่เจ้า ซึ่งเท่ากับการยืนยันข้อกล่าวหาการก่อกบฏของ

ตระกูลอิน ฝ่าบาทไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงตระกูลอินต่อ ก็ถือว่าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุดแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เสียงของกวนฮั่นหลินก็เศร้าขึ้นมาทันที

ในชีวิตของเขามีคนเพียงสองคนที่ทำให้เขาภูมิใจมากที่สุด คนแรกคือกวนจิ่วโจว ลูกชายคนโตของเขา อีกคนก็คืออินจ้ง

วันนี้ลูกชายคนโตตายในสนามรบ ชื่อเสียงเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกเนรเทศไปยังเมืองซุ่ยหาน

แม้ซ่งเฉียวอันและคนอื่นๆ จะป่าวประกาศว่าเป็นชื่อเสียงของกวนฮั่นหลิน แต่มันก็เป็นเพียงการแขวนชื่อเท่านั้น

นับตั้งแต่ลูกชายคนโตและอินจ้งจากไป จอมพลเฒ่าก็ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจมานาน เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าผู้ใดอยากแขวนชื่อไว้ใต้เขา สิ่งเดียวที่เขาปลงไม่ตกก็คือครอบครัวของอินจ้ง

หลายวันก่อน หากเขาไม่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของอินชิงเสวียนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็คงไม่ปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน

หากพูดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเศร้า

เมื่อมองจอมพลเฒ่าที่จู่ๆ ก็ดูเหมือนจะแก่ขึ้นหลายปี ในใจของอินชิงเสวียนก็เป็นทุกข์อย่างมาก

“อัคราจารย์ เหตุใดท่านพี่ของข้าต้องวิ่งกลับไป และเหตุใดต้องยอมรับสารภาพ เกิดอะไรขึ้นตรงกลางกันแน่”

กวนฮั่นหลินส่ายหัวในทันที

“ผู้ที่รับผิดชอบการพิจารณาคดีอาญาในวันนั้นคือเสนากวนเมิ่งถิงแห่งต้าโจว ตอนที่เขาถูกส่งตัวมาให้ข้า เขาก็หมดสติไปแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะรอให้พี่ชายของเจ้าฟื้นตัวก่อนแล้วค่อยถาม แต่เขากลับหายไปอย่างลึกลับ เรื่องนี้ก็กลายเป็นคดีที่ยังไม่คลี่คลาย”

อินชิงเสวียนถามขึ้นในทันที “นอกจากเสนากวน ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่?”

“ไม่มีแล้ว”

กวนฮั่นหลินครุ่นคิดและพูดขึ้น “เสนากวนเป็นขุนนางเฒ่าสองแผ่นดิน และยังเป็นญาติพี่น้องของข้า ไม่มีทางกุเรื่องสร้างภาพหลอกลวง”

“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็น่าแปลก ท่านพี่ข้าไม่ใช่คนซื่อบื้อ เหตุใดจึงกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อหาเรื่องให้ตัวเอง?”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง และถามอีกว่า “อัคราจารย์เคยส่งคนไปสืบเรื่องนี้ที่เมืองซุ่ยหานหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์