สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 124

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงหนังโบราณที่ตัวเองเคยดู ซึ่งดูเหมือนจะมีคำพูดที่ว่าให้หยุดอาบน้ำสามวันทุกเดือน

จึงพูดปฏิเสธทันที “ข้าเหนื่อยมาก พวกเจ้าไปอาบเถอะ”

นางใช้น้ำพุวิญญาณอาบน้ำทุกวัน ร่างกายของนางสะอาดอย่างมาก

อีกอย่าง นางไม่สามารถอาบน้ำพร้อมขันทีเป็นโขยงได้ หากถูกคนอื่นพบว่านางเป็นผู้หญิง เดี๋ยวความจะแตกเอาได้

“เพราะเหนื่อยถึงต้องไปอาบไงเล่า แช่ตัวในอ่างให้สบาย เป็นการกำจัดความเหนื่อยได้ดีที่สุดแล้ว”

เสียงของหลี่เต๋อฝูดังมาจากด้านหลัง ดวงตาเล็กๆ คู่หนึ่งมองดูนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม โดยมีเจตนาชั่วร้ายแฝงอยู่เล็กน้อย

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ตาเฒ่านี่ต้องจงใจแน่นอน

และเมื่อนึกได้ว่าหลี่เต๋อฝูรู้จักกับเจ้าของร่างเดิมก็ใจเต้นขึ้นมา

เขาต้องสงสัยอย่างแน่นอน และแย่ไปกว่านั้นคือ ไม่แน่ว่าเขาอาจสังสัยเสี่ยวหนานเฟิงด้วยเช่นกัน

ถ้ารู้ว่าชายชราคนนี้เจ้าเล่ห์มากเช่นนี้ ก็ควรให้ไทเฮานางแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายจัดการไปแล้ว

แต่ปากกลับยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณในความเป็นห่วงของหลี่กงกง ข้าไม่ต้องการจริงๆ และร่างกายของข้าก็ผิดแผก จึงไม่ใคร่อาบน้ำร่วมกับเพื่อนๆ”

หลี่เต๋อฝูยิ้มตาหยีมองนาง “กลัวอะไร ทุกคนล้วนไม่สมบูรณ์แบบ คุ้นชินไว้ก็ดี อย่างที่เรียกว่าตอนแรกไม่สนิทกัน เจอกันครั้งต่อไปก็จะสนิทขึ้นไม่ใช่หรือ ไม่ช้าก็เร็วเราจะต้องซื่อสัตย์ต่อกันสักวันหนึ่ง”

ซื่อสัตย์บ้านแกสิ!

อินชิงเสวียนแอบชูนิ้วกลางในใจ

เสี่ยวอานจื่อก็ได้ดึงแขนอินชิงเสวียนและพูดว่า “ท่านอาจารย์พูดถูก เจ้าไม่ต้องเขินอายอะไรเลย อีกเดี๋ยวข้าจะขัดหลังให้เจ้า และเจ้าค่อยขัดหลังให้ข้า”

เสี่ยวอานจื่อเป็นคนค่อนข้างซื่อ ในเมื่อยอมรับอินชิงเสวียนเป็นพี่น้อง เมื่อได้ทำสิ่งดีๆ ก็คิดจะพาเขาไปด้วยเสมอ การพักผ่อนสามวันของทุกเดือน ถือเป็นเรื่องประเสริฐสุดสำหรับเหล่าคนใช้อย่างพวกเขา

อินชิงเสวียนผลักเสี่ยวอานจื่อออก พูดขึ้นด้วยสีหน้าคัดค้าน “ข้าไม่ไปแล้วจริงๆ อีกครู่หนึ่งข้ายังต้องออกไปทำธุระอีก”

“วันนี้ฝ่าบาทก็หยุดพักผ่อนแล้ว เจ้ายังต้องยุ่งกับสิ่งใดอีก รีบไปกับข้า”

เสี่ยวอานจื่อเรียกขันทีน้อยคนหนึ่ง ดึงอินชิงเสวียนออกจากวังโดยไม่เอ่ยคำใด

เย่จิ่งอวี้กำลังออกไปด้านนอก เมื่อเห็นฝ่าบาท เสี่ยวอานจื่อตกใจเสียจนรีบก้มศีรษะลง

“กระหม่อมขอคารวะฝ่าบาท”

“ไปทำอะไร”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว สายตาของเขามีความไม่พอใจในจากการฉุดดึงของคนเหล่านี้

เสี่ยวอานจื่อพูดขึ้นอย่างเคารพ “พรุ่งนี้วันหยุด กระหม่อมอยากพาเสี่ยวเสวียนจื่อไปอาบน้ำพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้มองสีหน้าที่ไม่พอใจของอินชิงเสวียน เมื่อนึกถึงภาพของบ่าวตัวน้อยและเหล่าขันทีที่ร่างกายเปลือยเปล่า คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย ในใจรู้สึกไม่ชอบอย่างประหลาด

“ในเมื่อเสี่ยวเสวียนจื่อไม่ยินยอมก็ช่างเสีย คืนนี้อากาศเย็นสบายพอดี ออกไปเดินจูงสุนัขกับข้าสิ”

หลี่เต๋อฝูร้อนรนในทันที นี่ไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ง่ายๆ นะ

“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมไปกับพระองค์ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น เจ้าเหนื่อยมาทั้งเดือนแล้ว ควรจะพักผ่อนได้แล้วล่ะ ข้ายังหวังให้เจ้าอยู่กับข้าอีกหลายปีเชียวนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความโกรธของหลี่เต๋อฝูก็หายไปในพริบตา น้ำตาแห่งความซาบซึ้งแทบไหลออกมา ฝ่าบาททรงดีต่อเขาเหลือเกิน

คุกเข่าลงด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในทันที

“เช่นนั้นกระหม่อมจะทำตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“ลุกขึ้นเถอะ ปล่อยตัวไป๋เสวี่ยออกมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ครู่ต่อมา เงาสีขาวก็วิ่งออกมาจากห้องโถงด้านข้าง ราวกับม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน และกระโจนเข้าใส่เย่จิ่งอวี้ จากนั้นก็กระโดดไปรอบๆ แล้วกระโจนใส่อินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนเกือบล้มลงกับพื้น และอดไม่ได้ที่จะดึงหูใหญ่ของไป๋เสวี่ย

“หยุดนะ”

ไป๋เสวี่ยถูกดึงตัวไว้ มันไม่ดุใส่นางแต่กลับเชื่อฟังอย่างว่าง่าย

เหล่าขันทีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ พวกเขามักจะระมัดระวังอย่างเสมอเมื่อต้องเข้าใกล้มัน เสี่ยวเสวียนจื่อกล้าที่จะดึงหูสุนัขจริงๆ นางช่างมีความสามารถเสียจริง

อินชิงเสวียนไม่กล้าดึงไว้นาน อย่างไรเสียก็เป็นสุนัขทรงโปรดของฝ่าบาท เมื่อเห็นว่ามันไม่กระโจนใส่ตัวเองแล้วจึงปล่อยมือลง

เย่จิ่งอวี้เดินเข้าประตูวังไปแล้ว ไป๋เสวี่ยก็วิ่งตามไปด้านหน้า

อินชิงเสวียนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตามเย่จิ่งอวี้ไป สุนัขมีสี่ขาและนางมีเพียงสองขา ดูเหมือนจะยากไปเสียหน่อยที่จะไล่ตามมัน

เดินผ่านถนนไปสองเส้นแล้ว เย่จิ่งอวี้กลับไม่พูดอะไรสักคำ

สายลมอ่อนๆ พัดผ่านชายเสื้อคลุมของเขา เผยให้เห็นกางเกงสีขาวหิมะของเขา และผมสีดำที่พาดไหล่ของเขาก็ปลิวว่อนเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตถึงมัน

อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาจากทางด้านหลัง นึกในใจว่า ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องอะไรในใจ ไม่รู้ว่าควรเข้าไปถามหรือไม่

เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น เพราะนางมีเพียงหน้าที่ดูแลสุนัขเท่านั้น

เมื่อดวงตาของเขาสัมผัสกับสีขาวตรงหน้า กลับเห็นเพียงไป่เสวี่ยที่วิ่งไปตามทางสระน้ำ

จึงตะโกนขึ้นในทันที “หยุดนะ ห้ามลงไป”

เมื่อเห็นว่าไป๋เสวี่ยไม่เชื่อฟัง อินชิงเสวียนจึงรีบตามไปทันที และดึงหางของมันเอาไว้

ในบ่อมีตะไคร่น้ำเยอะมาก หากกระโดดลงไปจะต้องทำความสะอาดอย่างหนัก

ไป๋เสวี่ยร้องครวญคราง หันศีรษะอันใหญ่โต แลบลิ้นอันใหญ่ออกมา และหอบหายใจไม่หยุด

เหมือนว่าสุนัขตัวนี้จะกระหายน้ำ

อินชิงเสวียนรีบพูดปลอบ “ดื่มน้ำนั่นไม่ได้นะ ไม่สะอาด เดี๋ยวข้าจะเอาน้ำสะอาดมาให้”

ไป๋เสวี่ยมองหน้านางอยู่นาน ในที่สุดมันก็ยอมลุกขึ้นมา

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น พบว่าอีกไม่ไกลก็คือหอสุ่ยอวิ้น เย่จิ่งอวี้ได้เดินเข้าไปแล้ว

นางอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ออกมาพบกับผู้หญิงโดยเอาสุนัขมาเป็นข้ออ้าง แต่นางก็อยากพบกับสวีจือย่วนอยู่พอดี

เมื่อมองไป๋เสวี่ยที่หมอบลงบนพื้นด้วยความร้อน ก็รีบเข้าไปในมิติทันทีใช้อ่างกระเบื้องขนาดเล็กตักน้ําพุวิญญาณออกมาหนึ่งกระถาง

ไป๋เสวี่ยลุกขึ้นด้วยความดีใจทันที และดื่มน้ำแผล็บๆ

อ่างน้ำกระเบื้องขนาดเล็กถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง

อินชิงเสวียนคิดว่าขันทีน้อยคงรับใช้ด้วยความรังเกียจอึและฉี่ของมัน จึงไม่ค่อยให้มันได้กินน้ำ น่าสังสารเสียจริง

อดไม่ได้ที่จะลูบหัวของไป๋เสวี่ย พร้อมพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นี่คือน้ำพุวิญญาณเชียวนะ ไม่แน่ว่าดื่มไปแล้วเจ้าอาจจะฉลาดขึ้นก็ได้”

ไป๋เสวี่ยเงยหน้าขึ้น กระพริบดวงตาลูกปัดสีดำจ้องมองอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนเห็นความซาบซึ้งขอบคุณในสายตาของสุนัขตัวนั้น แต่ไม่ช้าไป๋เสวี่ยก็วิ่งไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

ดูท่าน้ำพุวิญญาณจะไม่มีผลต่อสุนัข อินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างหมดคำจะพูด และนอ่างน้ำกระเบื้องขนาดเล็กวางกลับไปในมิติ แล้วมองป้ายที่ประตูร้านค้าคะแนนสะสม อย่าให้มีคำเตือนที่สำคัญใดๆ ที่ถูกนางมองข้ามอีกเลย หลังจากเดินไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นก็ออกจากมิติอย่างสบายใจ

ไป๋เสวี่ยกำลังกัดดอกหญ้าอยู่ข้างๆ อินชิงเสวียนรีบดึงตัวมันมา และจูงไปยังหอสุ่ยอวิ้น

สวีจือย่วนกำลังเล่นพิณอยู่ด้านใน เมื่อเห็นฝ่าบาทเข้ามาก็รีบลุกขึ้น

“หม่อมฉันขอคารวะฝ่าบาทเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ และพูดขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าบรรเลงบทเพลงใดได้บ้าง บรรเลงให้ข้าฟังหน่อยสิ”

สวีจือย่วนก้มหน้าก้มตาอย่างเชื่อฟังและพูดขึ้น “หท่อมฉันมบรรเลงเป็นเพียงบทเพลงเหล่านั้น ไม่กล้าแสดงความน่าละอายต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทจริงๆ เพคะ”

“ไม่เป็นไร บรรเลงตามใจเจ้าเลย”

เย่จิ่งอวี้ยกชุดคลุมขึ้นและนั่งลงบนเก้าอี้หินที่อยู่ตรงข้าม สาวใช้หานปิงรีบยื่นชามาถวาย

สวีจือย่วนลังเลครู่หนึ่ง พร้อมกับวางนิ้วทั้งสิบลงบนพิณ

ตามการเคลื่อนไหวของปลายนิ้ว บทเพลงหนึ่งบรรเลงท่ามกลางบ้านที่เงียบเหงา

อินชิงเสวียนก็พาสุนัขเข้าประตูมาพอดี เมื่อได้ยินบทเพลงที่ไพเราะนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกถึงความเศร้าโศกในใจและเกิดความรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อน...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์