อินชิงเสวียนหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าไม่พอใจ
แล้วนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่จำเป็นต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว อยู่ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ถ้ามีผู้ใดมาถาม ก็บอกว่าข้ามาขอทำนองเพลง”
สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก
“ข้ารู้แล้ว เช่นนั้น...พวกเราไว้ค่อยต่อกันใหม่วันหลัง เจ้าวางใจ เรื่องนั้นถึงตายข้าก็ไม่พูด”
“ขอบใจเจ้ามาก”
อินชิงเสวียนประกบมือคำนับ แล้วเดินออกจากหอสุ่ยอวิ้นอย่างรวดเร็ว
นางเชื่อว่าสวีจือย่วนจะไม่พูดออกไป ถึงอย่างไรการให้ที่พักพิงแก่กบฏก็มีโทษมหันต์ นอกจากนี้ หากสวีจือย่วนไม่แสดงออกว่าสนใจตระกูลอินหลายต่อหลายครั้ง อินชิงเสวียนคงไม่กล้าผลีผลามมาเช่นนี้
นี่นับว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่
ถ้าชนะ นางก็จะได้ข่าว ถ้าแพ้ ศีรษะของนางก็จะหลุดร่วงสู่พื้น...
เมื่อมาถึงหน้าประตูหอสุ่ยอวิ้น ก็เห็นกงกงน้อยที่หน้าตาดูไม่คุ้น
เขาพูดอย่างสุภาพ “เจ้าคือเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงใช่หรือไม่ ฝ่าบาทให้ข้ามาเชิญเจ้าไปที่ตำหนักชิงฮว๋า”
อินชิงเสวียนถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “เกิดอะไรขึ้น”
ขันทีน้อยตอบตามตรง “องค์หญิงอยากได้ว่าว บอกว่าเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงมีว่าวขอรับ”
เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงจำได้ว่าตัวเองได้รับปากกับองค์หญิงว่าจะมอบว่าวให้นาง
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปเอาว่าว”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
หลังจากที่ขันทีน้อยจากไป อินชิงเสวียนก็หลบไปหามุมที่ไม่มีคนทันที และรีบเข้าไปในร้านค้าคะแนนสะสม
หลังจากพิจารณาสถานที่เล่นว่าวแล้ว ก็ตัดสินใจแลกเปลี่ยนว่าวใหญ่ๆ สุดยอดๆ ให้องค์หญิงดีกว่า เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดช่วยกันลากปู่ยี่แหละ เมื่อปล่อยให้ลอยขึ้นต้องอลังการมากแน่ๆ
ว่าวชนิดนี้หากขายในยุคปัจจุบันจะมีราคาอย่างน้อย 3,000 หยวน อินชิงเสวียนก็เคยเห็นมันเหมือนกัน แต่นางไม่กล้าซื้อ แต่ในร้านค้าคะแนนสะสมต้องแลกด้วย 30 คะแนน ซึ่งนับว่าคุ้มค่าทีเดียว
อินชิงเสวียนนำว่าวตัวใหญ่ออกจากร้านค้าคะแนนสะสม แถมยังถือโอกาสเก็บเกี่ยวพืชผลไว้ด้วย แต่เมื่อมองเห็นแป้งหมี่ที่กองกันเป็นเป็นเนินเขาเล็กๆ นางก็ขมวดคิ้ว ถ้าช่วงบ่ายไม่ได้ทำอะไร คงต้องออกจากวังเสียหน่อย จะได้นำของพวกนี้ไปไปให้หลิวเหล่าไท่ไท่ขาย
หลังจากถามองครักษ์หลายคน สิบห้านาทีต่อมาอินชิงเสวียนก็พบตำหนักชิงฮว๋าในที่สุด
เย่ไห่ถังยืนมองซ้ายแลขวาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือของสีสันสดใสขนาดใหญ่มา นางก็วิ่งไปอย่างมีความสุข
“เสี่ยวเสวียนจื่อ นี่คืออะไร”
อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือว่าวตัวใหญ่ที่กระหม่อมจะนำมามอบให้องค์หญิง อันที่จริงกระหม่อมนำเข้ามาในวังนานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้งานยุ่งมาก จึงลืมไป”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือด้วยมือข้างเดียว เย่จิ้งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อวิ๋นเฟิง รับของไป”
“เพคะ”
อวิ๋นเฟิงมารับว่าวไป ครั้นแล้วเย่ไห่ถังก็จำเรื่องที่อินชิงเสวียนบาดเจ็บได้ จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เสด็จพี่ใหญ่บอกว่าเจ้าล้มแขนเจ็บ ร้ายแรงหรือไม่”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่จิ่งอวี้
ล้มแขนเจ็บบ้านป้าเขาน่ะสิ พูดความจริงไม่ได้รึ
แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบพระทัยสำหรับความห่วงใยขององค์หญิง ไม่ร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ไห่ถังมองสำรวจอินชิงเสวียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วพูดเสียงนุ่ม “เช่นนั้นก็ดี หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจตรงไหน ก็บอกเสด็จพี่ใหญ่ ให้เขาเรียกหมอหลวงมารักษาเจ้า”
“ฝ่าบาทให้คนมาตรวจรักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักผ่อนไม่กี่วันก็หายแล้ว องค์หญิงดูว่าวดีกว่า กระหม่อมรับรองว่าไม่มีใครสามารถทำว่าวแบบนี้ออกมาได้”
“จริงหรือ”
เย่ไห่ถังมีนิสัยเหมือนเด็กโดยสิ้นเชิง แล้วพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า “เร็วเข้า กางว่าวออกให้ข้าดูเร็ว”
อวิ๋นเฟิงกางว่าวที่พับออก แล้วมองดูคนตัวเล็กไล่ไปทีละคน เย่ไห่ถังก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาด้วยความประหลาดใจ
“นี่...คือว่าวรึ”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงจะปล่อยให้ลอยขึ้นได้”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอาออกไปนอกวัง เสด็จพี่ใหญ่ ท่านก็ต้องไปกับพวกเราด้วย”
เย่ไห่ถังยื่นนิ้วเรียวออกไปคว้าแขนของเย่จิ่งอวี้ แล้วดึงเขาไปอย่างออดอ้อน
เย่จิ่งอวี้มองน้องสาวด้วยสีหน้ารักและเอาใจ
“ได้ วันนี้ข้าจะสละชีวิตเพื่อติดตามนายหญิงไปขอรับ”
จากนั้นเขาก็มองไปที่อินชิงเสวียน “เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าไปได้หรือไม่”
ไปไม่ได้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก
“กระหม่อมน่าจะไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...