สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 130

สรุปบท บทที่ 130 เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

สรุปตอน บทที่ 130 เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด – จากเรื่อง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

ตอน บทที่ 130 เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด ของนิยายโรแมนติกเรื่องดัง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดยนักเขียน GoodNovel เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

อินชิงเสวียนหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าไม่พอใจ

แล้วนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่จำเป็นต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว อยู่ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ถ้ามีผู้ใดมาถาม ก็บอกว่าข้ามาขอทำนองเพลง”

สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก

“ข้ารู้แล้ว เช่นนั้น...พวกเราไว้ค่อยต่อกันใหม่วันหลัง เจ้าวางใจ เรื่องนั้นถึงตายข้าก็ไม่พูด”

“ขอบใจเจ้ามาก”

อินชิงเสวียนประกบมือคำนับ แล้วเดินออกจากหอสุ่ยอวิ้นอย่างรวดเร็ว

นางเชื่อว่าสวีจือย่วนจะไม่พูดออกไป ถึงอย่างไรการให้ที่พักพิงแก่กบฏก็มีโทษมหันต์ นอกจากนี้ หากสวีจือย่วนไม่แสดงออกว่าสนใจตระกูลอินหลายต่อหลายครั้ง อินชิงเสวียนคงไม่กล้าผลีผลามมาเช่นนี้

นี่นับว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่

ถ้าชนะ นางก็จะได้ข่าว ถ้าแพ้ ศีรษะของนางก็จะหลุดร่วงสู่พื้น...

เมื่อมาถึงหน้าประตูหอสุ่ยอวิ้น ก็เห็นกงกงน้อยที่หน้าตาดูไม่คุ้น

เขาพูดอย่างสุภาพ “เจ้าคือเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงใช่หรือไม่ ฝ่าบาทให้ข้ามาเชิญเจ้าไปที่ตำหนักชิงฮว๋า”

อินชิงเสวียนถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “เกิดอะไรขึ้น”

ขันทีน้อยตอบตามตรง “องค์หญิงอยากได้ว่าว บอกว่าเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงมีว่าวขอรับ”

เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงจำได้ว่าตัวเองได้รับปากกับองค์หญิงว่าจะมอบว่าวให้นาง

“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปเอาว่าว”

“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

หลังจากที่ขันทีน้อยจากไป อินชิงเสวียนก็หลบไปหามุมที่ไม่มีคนทันที และรีบเข้าไปในร้านค้าคะแนนสะสม

หลังจากพิจารณาสถานที่เล่นว่าวแล้ว ก็ตัดสินใจแลกเปลี่ยนว่าวใหญ่ๆ สุดยอดๆ ให้องค์หญิงดีกว่า เจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดช่วยกันลากปู่ยี่แหละ เมื่อปล่อยให้ลอยขึ้นต้องอลังการมากแน่ๆ

ว่าวชนิดนี้หากขายในยุคปัจจุบันจะมีราคาอย่างน้อย 3,000 หยวน อินชิงเสวียนก็เคยเห็นมันเหมือนกัน แต่นางไม่กล้าซื้อ แต่ในร้านค้าคะแนนสะสมต้องแลกด้วย 30 คะแนน ซึ่งนับว่าคุ้มค่าทีเดียว

อินชิงเสวียนนำว่าวตัวใหญ่ออกจากร้านค้าคะแนนสะสม แถมยังถือโอกาสเก็บเกี่ยวพืชผลไว้ด้วย แต่เมื่อมองเห็นแป้งหมี่ที่กองกันเป็นเป็นเนินเขาเล็กๆ นางก็ขมวดคิ้ว ถ้าช่วงบ่ายไม่ได้ทำอะไร คงต้องออกจากวังเสียหน่อย จะได้นำของพวกนี้ไปไปให้หลิวเหล่าไท่ไท่ขาย

หลังจากถามองครักษ์หลายคน สิบห้านาทีต่อมาอินชิงเสวียนก็พบตำหนักชิงฮว๋าในที่สุด

เย่ไห่ถังยืนมองซ้ายแลขวาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือของสีสันสดใสขนาดใหญ่มา นางก็วิ่งไปอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเสวียนจื่อ นี่คืออะไร”

อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือว่าวตัวใหญ่ที่กระหม่อมจะนำมามอบให้องค์หญิง อันที่จริงกระหม่อมนำเข้ามาในวังนานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้งานยุ่งมาก จึงลืมไป”

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือด้วยมือข้างเดียว เย่จิ้งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อวิ๋นเฟิง รับของไป”

“เพคะ”

อวิ๋นเฟิงมารับว่าวไป ครั้นแล้วเย่ไห่ถังก็จำเรื่องที่อินชิงเสวียนบาดเจ็บได้ จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เสด็จพี่ใหญ่บอกว่าเจ้าล้มแขนเจ็บ ร้ายแรงหรือไม่”

อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่จิ่งอวี้

ล้มแขนเจ็บบ้านป้าเขาน่ะสิ พูดความจริงไม่ได้รึ

แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบพระทัยสำหรับความห่วงใยขององค์หญิง ไม่ร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ”

เย่ไห่ถังมองสำรวจอินชิงเสวียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วพูดเสียงนุ่ม “เช่นนั้นก็ดี หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจตรงไหน ก็บอกเสด็จพี่ใหญ่ ให้เขาเรียกหมอหลวงมารักษาเจ้า”

“ฝ่าบาทให้คนมาตรวจรักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักผ่อนไม่กี่วันก็หายแล้ว องค์หญิงดูว่าวดีกว่า กระหม่อมรับรองว่าไม่มีใครสามารถทำว่าวแบบนี้ออกมาได้”

“จริงหรือ”

เย่ไห่ถังมีนิสัยเหมือนเด็กโดยสิ้นเชิง แล้วพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า “เร็วเข้า กางว่าวออกให้ข้าดูเร็ว”

อวิ๋นเฟิงกางว่าวที่พับออก แล้วมองดูคนตัวเล็กไล่ไปทีละคน เย่ไห่ถังก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาด้วยความประหลาดใจ

“นี่...คือว่าวรึ”

อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงจะปล่อยให้ลอยขึ้นได้”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอาออกไปนอกวัง เสด็จพี่ใหญ่ ท่านก็ต้องไปกับพวกเราด้วย”

เย่ไห่ถังยื่นนิ้วเรียวออกไปคว้าแขนของเย่จิ่งอวี้ แล้วดึงเขาไปอย่างออดอ้อน

เย่จิ่งอวี้มองน้องสาวด้วยสีหน้ารักและเอาใจ

“ได้ วันนี้ข้าจะสละชีวิตเพื่อติดตามนายหญิงไปขอรับ”

จากนั้นเขาก็มองไปที่อินชิงเสวียน “เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าไปได้หรือไม่”

ไปไม่ได้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก

“กระหม่อมน่าจะไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

“นี่คือรางวัลที่องค์หญิงประทานให้”

เมื่อเห็นเงินแล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า

“ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับของรางวัล ขอบคุณพี่อวิ๋นเฟิง”

หลังจากพูดจบก็เก็บหยวนเป่าไว้ในอกเสื้อ

ทันทีที่ก้มศีรษะลง รองเท้าคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า รองเท้าคู่นั้นทำจากผ้าแพรต่วนสีขาว บนนั้นปักดิ้นเป็นรูปมังกรทองห้ากรงเล็บ และมีดวงตามังกรสีเขียวคู่หนึ่งที่กำลังมองมาราวกับมีชีวิต

ผู้เป็นเจ้าของรองเท้านั้นคือใคร ไม่ต้องบอกก็รู้

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าประดักประเดิด

“ฝ่าบาท ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”

เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้านาง เรียวตาหงส์หรี่ลง แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยากไปหอสุ่ยอวิ้น”

อินชิงเสวียนพูดอย่างเฉลียวฉลาด “กระหม่อมชื่นชอบบทเพลงนั้นมาก ที่ไปวันนี้ ก็เพื่อไปขอทำนองเพลงพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงในลำคอ พูดว่า “เจ้าบอกว่าครอบครัวของเจ้ายากจนข้าแค้น จนไม่กล้าเปิดหม้ออวดไม่ใช่รึ เจ้าไปเรียนดีดีพิณมาจากไหน”

อินชิงเสวียนพูดอย่างระมัดระวัง “เมื่อก่อนมีเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เขามีฉินพังๆ หลังหนึ่ง เมื่อกระหม่อมว่างๆ ก็มักจะไปดีดเล่น นานวันเข้าก็เป็นเองพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ยังแสดงสีหน้าคลางแคลงใจ

“เช่นนั้น เจ้าก็เป็นอัจฉริยะ?”

อินชิงเสวียนพูดอย่างถ่อมตน “กระหม่อมเป็นเพียงเล็กน้อย ไม่อาจเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้”

เย่จิ่งอวี้ถอนสายตาและพูดเบาๆ “ประเดี๋ยวกลับไปถึงตำหนักเฉิงเทียนแล้ว เจ้าก็บรรเลงให้ข้าฟังสักหนึ่งเพลง ถ้าเจ้าเล่นไม่ได้ ข้าจะลงโทษให้เจ้าขัดกระโถนหนึ่งเดือน”

ทันทีที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ ชายผู้หนึ่งที่แต่งกายเหมือนองครักษ์ได้วิ่งเข้ามา

“ฝ่าบาท ท่านโหวเหนือได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้กำลังรออยู่ที่หน้าประตูจิ้งอาน บอกว่ามีธุระสำคัญ ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมา ถามด้วยกระแสเสียงราบเรียบ “มีผู้ใดติดตามมาด้วย”

องครักษ์กล่าวด้วยความเคารพ “มีทหารห้าพันนายตามขบวนมาด้วย ตอนนี้ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองไปทางประตูวังด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ดีนักนะ ทหารห้าพันนาย!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์