“เสี่ยวเสวียนจื่อ ตามข้าไปห้องหนังสือ”
เย่จิ่งอวี้กล่าวเรียบๆ จากนั้นก็ออกจากตำหนักชิงฮว๋าไป
ตอนนี้เย่ไห่ถังกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน จึงไม่สนใจเสด็จพี่ใหญ่ของนาง
อินชิงเสวียนจึงเดินตามหลังเขา แล้วก็แอบชูนิ้วกลางเงียบๆ
เซ็งชะมัด
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ห้องหนังสือก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว
“ให้ท่านโหวเหนือเข้าวัง”
เย่จิ่งอวี้กางเสื้อคลุมออกแล้วนั่งบนเก้าอี้มังกร ขันทีน้อยที่ทำงานรับใช้ก็กระวีกระวาดยกน้ำชาเข้ามา
อินชิงเสวียนไม่มีอะไรทำ จึงยืนนิ่งอยู่ข้างหลังของเย่จิ่งอวี้
หลังจากนั้นไม่นานก็แว่วเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอดังเข้ามา แล้วชายผู้หนึ่งก็เดินหน้าเชิดเข้ามา
อินชิงเสวียนเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
เมื่อก่อนคิดมาโดยตลอดว่าคนโบราณมีผมดกหนา แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ปรากฏทางโทรทัศน์ไม่เป็นความจริง
ซึ่งบุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้มีผมเพียงครึ่งศีรษะ เส้นผมบนบริเวณกลางศีรษะเบาบาง เผยให้เห็นหนังศีรษะ แต่ก็เพราะมีผมน้อยเกินไป ปิ่นกลัดมวยผมสีทองจึงถูกกลัดแบบเอียงๆ บนศีรษะของเขา ทำให้ดูน่าขันมาก
ภายใต้เส้นผมประปรายก็คือใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม ไหล่กว้าง พุงกลม ยามที่ก้าวเท้าเดินก็มีเสียงฮืดฮาดๆ
“กระหม่อมโหวเหนือถวายบังคมฝ่าบาท”
เจียงตงหลิวยกเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลงบนพื้น เมื่อเขาโขกศีรษะคำนับ ปิ่นกลัดมวยผมก็ชนกับพื้นเป็นเสียงดังกริ๊ง
อินชิงเสวียนพยายามกัดฟันอย่างหนัก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ตามสบาย”
เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วค่อยๆ จิบ
“จู่ๆ ท่านโหวเหนือได้มาถึงเมืองหลวง มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นรึ”
โหวเหนือยืนขึ้นด้วยเสียงหายใจหอบๆ พร้อมกับโค้งคำนับและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบมาว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา กระหม่อมจึงมาที่นี่ล่วงหน้า เพื่อแสดงความยินดีกับองค์ไทเฮาในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระนาง”
“ท่านมีน้ำใจแล้ว เด็กๆ ประทานที่นั่ง”
ทันใดนั้นขันทีน้อยก็นำตั่งไม้สีสันงดงามเข้ามา เจียงตงหลิวนั่งลงด้วยพุงยื่นๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรีของกระหม่อมเป็นลูกสะใภ้โดยสายเลือดของไทเฮา หากมิได้อยู่ในราชวงศ์ กระหม่อมกับไทเฮาก็นับว่าเป็นญาติกัน จึงต้องขยันไปมาหาสู่กันเป็นธรรมดา”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘โดยสายเลือด’ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้พลันฉายแววเยือกเย็น
เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “หายากที่ท่านโหวเหนือจะมีความคิดเช่นนี้ ข้ารู้สึกสบายใจมาก เมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่สักหลายๆ วัน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท นอกจากนี้ กระหม่อมยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ “ท่านโหวเหนือเชิญกล่าวมาได้”
เจียงตงหลิวไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “อันผิงอ๋องดูแลสุสานหลวงมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ตอนนี้เมื่อเขากลับมาที่ราชสำนักแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเข้าร่วมประชุมที่ราชสำนักเพื่อหารือเรื่องงานบ้านเมืองได้แล้ว”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อันผิงอ๋องเฝ้าในสุสานหลวงเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งเป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น เขาถูกแยกจากภรรยาถึงหนึ่งปี ถ้าไม่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มาก ข้าจะรู้สึกเสียใจยิ่ง”
เจียงตงหลิวพูดอย่างเคร่งขรึม “บุรุษจะมีความรักอันลึกซึ้งต่อสตรีได้อย่างไร อันผิงอ๋องเป็นขุนนางที่เกิดในราชวงศ์ ยิ่งควรให้ความสำคัญกับกิจการบ้านเมือง”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็เข้าใจทันที
เข้าใจว่าโหวเหนือมาเพื่อขอร้องแทนเย่จิ่งเย่า
ถ้าเศษสวะเช่นนั้นเข้ามาในราชสำนัก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดการควมาขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก
“ท่านโหวเหนือกล่าวผิดไปแล้ว หากคนผู้หนึ่งไม่ใส่ใจแม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง แล้วเขาจะสนใจแคว้นได้อย่างไร”
ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้รอยยิ้มบางๆ กระแสเสียงสงบ แสดงออกถึงท่วงท่าอันสง่างามแห่งราชา
เจียงตงหลิวเปล่งเสียงเอ่อออกมาคำหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงกระนั้น อันผิงอ๋องก็กลับมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว พักผ่อนนานปานนี้ ก็ควรเพียงพอแล้ว”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปาก
“ข้าก็คิดว่าเพียงพอแล้ว เพียงแต่น้องชายของข้ายังไม่เคยสร้างความดีความชอบเลย หากผลีผลามกลับราชสำนักโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี อาจทำให้คนไม่พอใจ ทุกวันนี้ข้าคิดหามรุ่งหามค่ำ ในที่สุดข้าก็พบโอกาสที่จะทำให้น้องข้ากลับสู่ราชสำนักได้”
เจียงตงหลิวนั่งตัวตรงทันที
“โอ้? มิทราบว่าฝ่าบาทต้องการให้ท่านอ๋องทำสิ่งใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...