สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 132

“เจียงตงหลิวถวายพระพรท่านอ๋อง!”

เจียงตงหลิวหอบพุงใหญ่ๆ เตรียมที่จะคุกเข่าลง

“ท่านโหวโปรดลุกขึ้นเถิด”

เย่จิ่งเย่าก้าวฉับๆ ช่วยพยุงเขาลุกขึ้น

“ท่านโหวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังแล้วรึ”

เจียงตงหลิวขมวดคิ้วพูดว่า “เข้าวังแล้ว แต่ได้รับข่าวมาไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวดีรึข่าวร้าย”

เจียงตงหลิวเงยหน้าขึ้น สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นเส้นสีดำที่หางตาของเย่จิ่งอวี้

เจียงซิ่วหนิงก็เห็นเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปาก ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “เชิญท่านพ่อกับท่านอ๋องคุยกันเถอะ ลูกขอตัวก่อน”

เย่จิ่งเย่าไม่สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของเขา จึงถามทันที “ข่าวอะไรรึ”

เจียงตงหลิวไอแห้งๆ และพูดซ้ำคำพูดของเย่จิ่งอวี้

หลังจากได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเย่จิ่งเย่าก็หม่นแสงลง พูดอย่างเคียดแค้น “เย่จิ่งอวี้เจ้าชาติสุนัข เห็นชัดว่าต้องการส่งพวกเราไปตายที่เจียงวู”

เจียงตงหลิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คงไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว หากสามารถทำให้เจียงวูสงบลงได้จริง ไม่เพียงแต่ท่านอ๋องจะสามารถกลับคืนสู่ราชสำนัก แต่กระหม่อมยังสามารถกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับซิ่วหนิงที่เมืองหลวงได้”

เย่จิ่งเย่าคำราม “ข้าได้ยินมาว่าเจียงวูได้สร้างพันธมิตรกับหลายแคว้น นอกเหนือจากตระกูลอินแล้ว ยังมีมีใครมีความสามารถเช่นนั้นอีก”

เจียงตงหลิวหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ตอนนี้ตระกูลอินกลายเป็นกบฏแล้ว ไม่มีทางออกจากเมืองซุ่ยหานได้ ตอนนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับเรา สรุปแล้วก็คือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพยายามของมนุษย์ ท่านอ๋องอย่าเพิ่งทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง”

เย่จิ่งเย่าโบกแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเย่จิ่งอวี้ส่งนักฆ่าไประหว่างทาง ท่านกับข้าจะรับมืออย่างไร”

“นี่...ฮ่องเต้หมายจะทำให้ความวุ่นวายสงบ ไม่น่าจะทำเช่นนั้น”

เจียงตงหลิวก็ไม่แน่ใจเช่นกัน

เมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เจียงตงหลิวได้พบกับองค์รัชทายาทหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นนัก ตอนนี้จึงไม่เข้าใจความคิดของเย่จิ่งอวี้

เย่จิ่งเย่าพูดอย่างคับแค้นใจ “เย่จิ่งอวี้ชาติสุนัขผู้นี้เจ้าเล่ห์แสนกลนัก กลอุบายสกปรกอะไรก็ใช้ได้ ที่เขาเสนอแนะเช่นนี้ต้องมีกลอุบายบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่นอน พวกเราต้องไม่หลงกลเขา”

“แล้วเราควรทำอย่างไรดี เขาได้มีคำสั่งให้ข้าพักผ่อนสักพักแล้วออกเดินทัพทันที”

เจียงตงหลิวถามขึ้นด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด

นัยน์ตาของเย่จิงเย่าวูบไหว พูดว่า “ไม่เป็นไร นับแต่วันพรุ่งนี้ข้าจะบอกว่าป่วย เขาคงไม่ให้ข้าออกรบทั้งๆ ที่ยังป่วยอยู่เป็นแน่ อีกทั้งยังมีเสด็จแม่คอยดูแลอยู่ในวัง คิดว่าเขาคงไม่กล้าบังคับข้า”

“เป็นความคิดที่ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”

แม้ว่าเจียงตงหลิวต้องการยกทัพ สร้างความดีความชอบ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่จิ่งเย่าพูด ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง

ในแง่ของความสัมพันธ์ เขามีความใกล้ชิดกับเย่จิ่งเย่ามากกว่า

เย่จิ่งเย่าหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวเดินทางมาไกล ขอเชิญพักอยู่ในจวนสักระยะเถิด เพื่อเป็นสักขีพยานในอาการป่วยของข้า”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

“อืม เด็กๆ พาท่านโหวไปพักผ่อนที่เรือนหลัง”

จากนั้นก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามา แล้วนำทางเจียงตงหลิวไปยังเรือนหลัง...

ณ สนามฝึก

จังเถี่ยและสวีเหลียงกำลังฝึกทหารอย่างคึกคักเต็มที่ พลางตะโกนลั่นไม่หยุด

อินชิงเสวียนที่ดูอยู่ก็เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้เจอกันหลายวัน คนเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเห็นได้ว่าการฝึกค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว

อินชิงเสวียนเข้าไปบำรุงขวัญทุกคนครู่หนึ่ง จากนั้นพาหลี่ชีไปเอาโกลนม้า

หนึ่งร้อยคู่พอดีไม่ขาดไม่เกิน เถ้าแก่เป็นคนซื่อสัตย์มาก สิ่งเดียวที่ไม่ดีคือ อินชิงเสวียนจ่ายเงินเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึง

หลังจากแขวนสิ่งของทั้งหมดบนหลังม้าแล้ว ก็พาหลี่ฉีกลับไปที่บ้านของหลิวเหล่าไท่ไท่

ที่บ้านมีเด็กอยู่แค่สองคน พอถามถึงทราบว่าหลิวเหล่าไท่ไท่เปิดร้านขายข้าวไว้ พี่สาวของพวกเขาจึงตามไปขายของ

ท่านยายผู้นี้ทำงานคล่องแคล่วดีทีเดียว เช่นนั้นก็ขนเสบียงอาหารมาเพิ่มในนางหน่อยก็แล้วกัน

อินชิงเสวียนให้หลี่ฉีรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองเข้าไปในบ้าน ขนถ่ายเสบียงอาหารไว้ เมื่อนางออกมา ได้หยิบลูกอมรสนมถุงใหญ่ด้วย จากนั้นแบ่งให้เด็กทั้งสอง แล้วส่วนที่เหลือก็แบ่งให้หลี่ฉีกับฉินเทียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์