สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 138

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

และก็เป็นไปตามคาด ไทเฮาหัวเราะกล่าวว่า “เสียนเฟยเป็นคนแรกที่เข้าวัง ตอนนี้นางไร้ทายาท ทำไมไม่ส่งเด็กไปที่วังจิ้งอาน ให้นางรับเลี้ยง ให้ถือว่าเป็นบุตรบุณธรรม เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลหรอกรึ”

ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะพูด ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “ไม่ได้ วันๆ เสียนผินเอาแต่ก่อปัญหา จะสั่งสอนเด็กให้ดีได้อย่างไร ข้าจะหาที่อื่นให้เด็กเอง ไทเฮาไม่ต้องกังวล”

ทันใดนั้นสีหน้าของไทเฮาก็ดูบิดเบี้ยว แต่นางก็ยังคงยิ้มออกมา “ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ต้องการส่งเขาไปที่ใด”

อินชิงเสวียนคุกเข่าลงทันที แล้วพูดด้วยความเคารพนบนอบ “เด็กคนนี้เข้าวังมาก็มีแต่กระหม่อมที่คอยดูแล หวังว่าฝ่าบาทและไทเฮาจะกรุณา มอบเสี่ยวหนานเฟิงให้กระหม่อมดูแล เขาคุ้นเคยกับกระหม่อมดี หากอยู่ๆ ถูกส่งไปอยู่ที่อื่น เด็กจะต้องป่วยไข้อย่างแน่นอน จึงควรอยู่กับกระหม่อมจะดีกว่า”

เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอืมเบาๆ และพูดอย่างสงบ “ไว้ค่อยหารือเรื่องนี้ในภายหลัง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญไทเฮาเสด็จกลับเถิด”

ไทเฮากำมือแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ทันใดนั้น ดวงตาก็ฉายแววยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น

นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ฮ่องเต้พามาจากนอกวังจริงๆ หรือ ข้าได้ยินว่าอินชิงเสวียนเคยร่วมหอกับฮ่องเต้ก่อนจะเข้ามาอยู่ในวังเย็น บางทีอาจเป็นลูกในไส้ที่นางทิ้งไว้”

นางหัวเราะ มองอินชิงเสวียน และพูดอย่างมีความหมาย “บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง ในเมื่อฮ่องเต้ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก หลิวหมัวมัว พวกเรากลับ”

หัวใจของอินชิงเสวียนสั่นสะท้าน เห็นชัดว่ายายแก่นี่มีเจตนาที่จะตักเตือนตัวเอง

หากนางไม่ซื่อสัตย์ ยายแม่มดเฒ่าคนนี้จะเปิดเผยนางอย่างแน่นอน

แต่เหตุใดนางถึงไม่พูดออกไปตั้งแต่วันนี้เลยล่ะ

ให้ตายเถอะ ทำไมคนในวังแห่งนี้ถึงมีเจตนาชั่วร้ายนักนะ

ดวงตาของเย่จิ่งอวี้หรี่ลงเล็กน้อย ประกายในแววตาริบหรี่ จากนั้นค่อยๆ หายไปในทันที

ทันใดนั้นเขาก็โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ลูกน้อมส่งไทเฮา”

เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังขึ้นด้านนอกตำหนัก แล้วขบวนเสด็จของไทเฮาก็จากไป

หลิวหมัวมัวอยู่ข้างๆ รถม้าพระที่นั่งหงส์มาตลอด กระซิบอย่างอดไม่ได้ว่า “ไม่เฮาเพคะ เด็กคนนี้น่าจะเป็น...”

ไทเฮาพยักหน้า

“หาคนไปสืบดู ว่าเสี่ยวเสวียนจื่ออธิบายที่มาของเด็กให้ฮ่องเต้ฟังว่าอย่างไร”

“เพคะ”

หลิวหมัวมัวตอบรับ และถามอีกว่า “ในเมื่อไทเฮาทรงทราบอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่เปิดโปงล่ะเพคะ”

ไทเฮากระซิบ “ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะยังมีความหวังอันริบหรี่ในตัวนางอยู่ เนื่องจากนางไม่เปิดเผยตัวตนของนาง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่านางมีแผนอื่น วันนี้ชี้แนะนางไปหนึ่งประโยค คิดว่านางคงสามารถเข้าใจความหมายของข้าได้”

หลิวหมัวมัวพยักหน้า กระซิบ “คนผู้นี้ดูฉลาดเฉลียว แต่ดูเหมือนนางจะแตกต่างจากที่คนเดิมเรารู้จัก ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในวังเย็น นางทุ่มเทเพื่อท่านอ๋องมาก มิได้มีกลอุบายมากมายเพียงนี้ บัดนี้พอได้ออกจากวังเย็นแล้ว ทั้งทำการฝึกทหารทั้งทำการเกษตร ราวกับว่าเป็นคนละคน”

“ที่เจ้าพูดมาก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง”

ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าส่งคนไปแจ้งเย่าเอ๋อร์ ให้เขาเข้าวังมาหยี่งเชิงอินชิงเสวียนอีกครั้ง”

“เพคะ”

หลิวหมัวมัวตอบรับ

แล้วไทเฮาก็กล่าวตำหนิ “ลู่จิ้งเสียนคนไร้ประโยชน์นี่ หากนางมุมานะบ้าง ข้าจะถูกควบคุมทุกวิถีทางเช่นนี้หรอกหรือ ตอนนี้แทนที่จะได้เป็นฮองเฮา นางกลับถูกลดตำแหน่งเป็นสนมขั้นผิน ตระกูลลู่อับอายเพราะนางหมดแล้ว”

หลิวหมัวมัวกล่าวว่า “เพลานี้ไทเฮาให้พระสนมเสียนผินเข้าใกล้องค์หญิงได้ ก็ให้ทั้งสองใกล้ชิดกับเด็กได้นี่เพคะ”

ไทเฮาทรงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “นี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”

จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป “ข้าได้ยินมาว่าโหวเหนือได้เข้าเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะให้เย่าเอ๋อร์กลับสู่ราชสำนักเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไปแจ้งให้เย่าเอ๋อร์เข้าวังมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นเรายังไม่รีบ...”

ณ วังเย็น

อินชิงเสวียนลุกขึ้นจากพื้น หยาดเหงื่อผุดขึ้นที่ปลายจมูก

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ช่วยกระหม่อมปกป้องเสี่ยวหนานเฟิง”

“เมื่อเป็นลูกชายของเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปแน่”

เย่จิ่งอวี้มีรอยยิ้มบนริมฝีปาก แต่มีประกายบางอย่างในดวงตาที่ไม่กระจ่างชัด

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาที่จ้องมองด้วยแววตาลึกล้ำคู่นั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอยู่ในใจ

“ฝ่าบาท...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์