เดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงถนนยาวหน้าตำหนักฉงหวู่
ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเดินมาไม่หลงทาง ดูท่าเดินถูกทางก็มีข้อดีเหมือนกัน
พอเดินมาถึงปากทาง อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และกังวลเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมา
หน้าประตูตำหนักฉงหวู่
เงาสูงโปร่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างทาง
แสงจันทร์ยามค่ำคืนยิ่งทำให้เงาของเขายืดยาวมากขึ้น
ผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้
เขามองไปไกล และคิ้วขมวดเล็กน้อย
พลางคิดใจในว่าควรพบกับบ่าวคนนี้รึไม่
บางทีอาจเป็นเพราะบ่าวคนนี้ไม่รู้จักตนเอง จึงทำให้เย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกแปลกใหม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะการที่เขาไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน กล้าทำการค้าขายซึ่งๆ หน้าตัวเองก็ได้
แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกกันผู้ติดตามออก และมาที่นี่คนเดียว
เขามองดูพระจันทร์อีกครั้ง ตอนนี้เวลาสามทุ่มแล้ว
ในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ได้ปะปนแววหงุดหงิดเล็กน้อย
เจ้าสุนัขรับใช้ ใจกล้าจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้
ขณะที่กำลังจะหันหลังเข้าตำหนักฉงหวู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า "ท่านพี่ทหาร ใช่เจ้าไหม?"
เย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนที่กำลังหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าเหมือนโจรในทันที
อินชิงเสวียนเองก็มองเห็นหน้าเขาในทันทีเช่นกัน แล้วก็อดดีใจไม่ได้
เขามาจริงๆ ด้วย
เธอจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ไปหา "เป็นอย่างไรบ้าง? ของขายไปแล้วหรือยัง?"
เมื่อมองดูดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็ปั้นหน้าขรึมและพยักหน้า
อินชิงเสวียนจึงยื่นแขนแบบและมือออกทันที
"ได้เอาเงินมาไหม?"
เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ แล้วหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา
อินชิงเสวียนรีบรับเอาไว้ทันที แล้วยกขึ้นส่องดูด้วยแสงจันทร์
เงินหนึ่งพันสองร้อยตำลึงของจริง
ขุนแม่ กำไรในพระราชวังมันดีจริงๆ
อินชิงเสวียนตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด เธอหยิบตั๋วเงินออกมาใบหนึ่ง แล้วยัดไปให้เย่จิ่งอวี้ด้วยใบหน้าร่าเริง
"ท่านพี่ทหารลำบากแล้ว นี่เป็นค่าตอบแทนของเจ้า เราร่วมมือกันต่อนะ"
เมื่อมองดูมือขาวเนียนเล็กๆ ที่ยื่นมาแตะตรงอกของตนเอง เย่จิ่งอวี้ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่เขามองลงไป อินชิงเสวียนก็ชักมือกลับไปแล้ว
จากนั้นเธอก็หยิบแป้งพัพบีบีออกมาสามตลับ
"ท่านพี่ทหาร สามชิ้นนี้ก็ชิ้นละสองร้อยตำลึงเช่นกัน ที่มากกว่านั้นเป็นของเจ้า สรรพคุณของมันคือ.."
อินชิงเสวียนดึงมือของเย่จิ่งอวี้มา เธอทาแป้งให้เขา พร้อมกับพูดถึงสรรพคุณของแป้งพัพบีบีไม่หยุด
เมื่อมองหลังมือที่ขาวและเนียนหลังจากทาแป้ง เย่จิ่งอวี้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
เจ้าขันทีหนุ่มน้อยคนนั้นไปได้ของดีๆ เหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?
อินชิงเสวียนพูดบรรยายอยู่ราวสิบนาที ในที่สุดก็พูดจบเสียที และเมื่อเงยหน้าขึ้นประสบเข้ากับเย่จิ่งอวี้ที่หรี่ดวงตาเรียวยาวลงมาจับจ้องตนเองอยู่ เธอก็ตกใจ และรีบปล่อยมือเขาออก
"ท่านพี่ทหาร ข้าล่วงเกินเจ้าหรือเปล่า?"
ยังไม่ทันที่เย่จิ่งอวี้จะเปิดปากพูด อินชิงเสวียนก็ถามต่อว่า "เจ้าเป็นขุนนางสินะ ผู้บัญชาทหารรักษาพระองค์?"
เย่จิ่งอวี้ไม่พูด ดวงตานิ่งลึกดั่งทะเล จนยากที่จะคาดเดาความคิดของเขาได้
อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ "เป็นรองผู้บัญชาก็ไม่แย่เช่นกัน เจ้ายังหนุ่ม อนาคตยังมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง เพียงแต่มันคงไม่ดีนักที่เจ้ามักปั้นหน้าบึ้งตึง เป็นคนต้องยิ้มบ่อยๆ ยิ้มแล้วจะได้โชคดี"
เมื่อเห็นว่าเขากำลังอ้าปากพูดแบบไม่มีที่สิ้นสุด เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว
"น่ารำคาญ"
อินชิงเสวียนรีบหุบปากทันที
ทั้งสองคนยืนเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็ชวนให้รู้สึกอึดอัด
อินชิงเสวียนไอกระแอมแล้วพูดว่า "งั้น...ข้าไปก่อนล่ะ เราพบกันใหม่สามวันให้หลังเช่นเดิม?"
เธอเดินไปสองก้าวก็หันกลับมาถามอีกว่า "เจ้าออกนอกวังได้ไหม?"
เย่จิ่งอวี้เหล่ตามอง "มีอะไร?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...