สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 140

บัดซบ!

ถ้านางกล้าพาลูกชายของเขาออกจากวัง เขาจะไล่ตามนางจนสุดหล้าฟ้าเขียว!

และเด็กก็ไม่สามารถอยู่ในวังเย็นได้อีกต่อไป

เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้พวกเขาซ่อมแซมตำหนักจินหวู่ ข้าจะให้เสี่ยวหนานเฟิงอาศัยอยู่ที่นี่”

เมื่อได้ยินดังนี้ หลี่เต๋อฝูก็รู้สึกยินดี รีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปแจ้งคนงานในวังเดี๋ยวนี้”

เย่จิ่งอวี้พูดอีกครั้ง “ให้นางำนัลสองคนจากวังเย็นเข้ามาอยู่ด้วย”

“ส่วนเสี่ยวเสวียนจื่อ...”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงขึ้นจมูก พูดว่า “ข่าวการเสียชีวิตของสนมในวังเย็นได้ถูกประกาศให้รับรู้กันทั่วแผ่นดินแล้ว จะให้ข้าดึงตัวนางออกมาประกาศว่ายังไม่ตายอีกงั้นรึ เจ้าคนบัดซบนี่ เสียแรงที่ข้าเก็บรักษากระดูกเอาไว้ เพื่อไว้ฝังในสุสานหลวง”

หลี่เต๋อฝูพูดอย่างกล้าหาญ “เด็กมักต้องการมารดาผู้ให้กำเนิดอยู่เคียงข้าง...”

เย่จิ่งอวี้หยิบชาขึ้นมาจิบแล้วพูดช้าๆ “ข้าจะให้เสี่ยวเสวียนจื่อมารับใช้ที่ตำหนักจินหวู่ เช่นนี้แล้วพวกนางสองแม่ลูกจะได้ไม่ต้องแยกจากกัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ค่อยให้นางเปลี่ยนชื่อแซ่ และกลับเข้ามาในวังอีกครั้ง”

หลี่เต๋อฝูหัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง เฉลียวฉลาดมีเมตตา”

เย่จิ่งอวี้กลอกตามาเขา

“รู้สึกว่าเจ้าจะเรียนได้แค่สองคำนี้นะ”

“กระหม่อมจำได้แค่สองประโยคนี้จริงๆ”

หลี่เต๋อฝูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โอ้ ใช่แล้ว ความเคารพที่กระหม่อมมีต่อฝ่าบาทก็เหมือนกับคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดในแม่น้ำ ดั่งแม่น้ำเหลืองที่ล้นอยู่เหนือการควบคุม”

เย่จิ่งอวี้หัวเราะขันๆ

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องตัวตนของเสี่ยวเสวียนจื่อ สำหรับเสี่ยวหนานเฟิง ข้ามีการเตรียมการไว้แล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นแล้วหลี่เต๋อฝูก็สั่งให้คนงานในวังมาทำความสะอาดตำหนักจินหวู่ ขณะที่เย่จิ่งอวี้ก็นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ

เมื่อมองดูต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นที่คุ้นเคยในตำหนัก เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ตำหนักแห่งนี้ถูกผนึกไว้เป็นเวลานานเกินไป ถึงเวลาที่จะฟื้นฟูให้กลับมารุ่งโรจน์ดังเดิมแล้ว!

ตอนนี้การที่เสี่ยวหนานเฟิงสองแม่ลูกมาอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ถือเป็นมรดกทางสายเลือด!

หากเสด็จที่อยู่ในปรโลกรู้เรื่องนี้ คงจะดีใจแน่นอน!

สำหรับอินชิงเสวียน ทำได้เพียงรอให้การต่อสู้จบลงก่อนค่อยตัดสินอีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะคิดถึงแผนการตอบโต้แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจกับคืนนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรกับเสี่ยวเสวียนจื่อที่อยู่ในฐานะขันที...

เมื่อนึกถึงดวงตาอันเจ้าเล่ห์คู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็ต้องปวดเศียรอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับ เขาระงับความคิดอันว้าวุ่น สั่งกำชับว่า “พรุ่งนี้ให้คนเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้าม่านทั้งหมดที่นี่ใหม่ทั้งหมด ส่งทหารรักษาพระองค์หลายนายมาอารักขาที่นี่ นอกจากข้าแล้ว ก็ห้าผู้ใดเข้าไปด้านในเด็ดขาด”

เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “เรื่องสุดท้าย ส่งคนไปเรียกโหราจารย์เข้ามาในวัง ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขาโดยละเอียด...”

ณ วังเย็น

ในห้องไร้ซึ่งโคมไฟ

เสี่ยวหนานเฟิงหลับไปทั้งๆ ที่กำหมัดเล็กๆ ไว้

อินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ริมหน้าต่าง พร้อมกับถือสับปะรดไว้ด้วย นางไถนิ้วเล่นได้สักพัก แต่จิตใจของนางไม่สามารถสงบลงไปได้

เมื่อคิดถึงสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก่อนเดินทางกลับ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือก

เขาคงไม่ได้เก็บคำพูดของไทเฮามาใส่ใจหรอกนะ ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงรีบจากไป

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรอินชิงเสวียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จำเป็นต้องออกไปตรวจสอบ

นางมาที่ห้องโถงด้านข้าง เรียกยายหลี่มาดูลูกไว้ ส่วนตัวเองก็เดินกลับตำหนักเฉิงเทียนภายในคืนนั้นเลย

ในเวลานี้ สวีจือย่วนก็ออกมาจากหอสุ่ยอวิ้นพอดี

ตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่ได้พบเห็นอินชิงเสวียนอีกเลย ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

บางทีอาจเป็นผลแห่งความเห็นอกเห็นใจ นับตั้งแต่นางได้รู้ฐานะที่แท้จริงของอินชิงเสวียน สวีจือย่วนก็ถือว่านางเป็นญาติเพียงคนเดียวในวัง

คืนนี้ข้ารู้สึกเบื่อมาก จึงอยากมาเยี่ยมนางหน่อย

สองนายบ่าวจึงถือโคมไปมาที่ตำหนักเฉิงเทียน

หลี่เต๋อฝูยืนอยู่ที่ประตู สวีจือย่วนก็โค้งคำนับเล็กน้อย

“กงกงช่วยกราบทูลให้ได้หรือไม่ ข้าอยากพบ...ฝ่าบาท”

หลี่เต๋อฝูรีบมาประคองสวีจือย่วน พูดด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงเกรงใจไปแล้ว หากฝ่าบาทรู้ว่านายหญิงมา คงยินดีอย่างแน่นอน นายหญิงกรุณารอสักครู่ บ่าวจะไปกราบทูลเดี๋ยวนี้”

เย่จิ่งอวี้ที่กำลังอ่านหนังสือบนเก้าอี้นวมยามนุ่มๆ เมื่อเขาได้ยินว่าสวีจือย่วนมา เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ววางหนังสือลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์