สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 141

อินชิงเสวียนตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้าง

เย่จิ่งอวี้เบนสายตาไปที่สวีจือย่วนแล้วพูดเบาๆ “เด็กๆ ไปส่งนายหญิงสวีกลับตำหนัก”

“ฝ่าบาท!”

สวีจือย่วนรู้ว่าตัวตนของอินชิงเสวียนไม่อาจถูกเปิดเผยได้ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ลึกล้ำ

“กลับไปซะ วันหลังข้าค่อยไปหาเจ้า”

หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาจากด้านนอกทันที

“เชิญนายหญิงสวี”

สวีจือย่วนไม่กล้าขัดขืนคำสัง จำใจต้องจากไป ก่อนจากไปนางเหลือบมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง แล้วกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง

หวังว่านางจะสามารถพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้

ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง เหลือเพียงสองคน บรรยากาศหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง

อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์สับสนหรือเปล่า กระหม่อมเป็นชาย จะนอนกับพระองค์ได้อย่างไร”

เย่จิ่งอวี้ใช้ดวงตาหงส์จ้องมองตรงไปยังใบหน้าของนางนิ่งๆ

การจ้องมองด้วยสายตากดดัน ทำให้อินชิงเสวียนตื่นตระหนกและหายใจไม่ออก

พูดอย่างจำใจ “ฝ่าบาท พระองค์จะไม่มีความคิดแปลกๆ เพราะคำพูดของไทเฮาหรอกกระมัง”

เย่จิ่งอวี้ยังคงนิ่งเงียบ ความเงียบแปลกๆ นี้บีบบังคับให้คนอึดอัดจนแทบระเบิด

อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า “อัฐิขิงนายหญิงอินยังอยู่ในหอสวดมนต์ เด็กคนนี้จะเป็นลูกชายที่นางคลอดไว้ก่อนตายได้อย่างไร”

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย อยากได้ยินว่าอินชิงเสวียนจะแต่งเรื่องอย่างไรต่อ

อินชิงเสวียนถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงรอบรู้ เสี่ยวหนานเฟิงเกิดมาจากท้องของภรรยากระหม่อมจริงๆ เพื่อที่จะให้กำเนิดเด็กคนนี้ นางเกือบถึงแก่ชีวิต ที่กระหม่อมต้องการหาเงิน ก็เพื่อชดเชยให้กับนาง”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มเยาะ แยกริมฝีปากกล่าวว่า “ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ถือว่าว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมงั้นสิ”

อินชิงเสวียนหลุบตาลงพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปแล้ว เป็นสามีภรรยากันครั้งหนึ่ง ต่อให้แยกทางกันแล้ว มิตรภาพก็ยังคงอยู่ บ่าวไม่อาจเป็นคนใจร้ายที่ละทิ้งภรรยาและลูกๆ ให้ผู้อื่นถ่มน้ำลายรดหน้าไปตลอดชีวิตได้”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว ทำไมคำพูดนี้ถึงพูดเหมือนกับว่ากำลังต่อว่าเขานะ

เขาพูดอย่างเย็นชา “ถึงแม้จะมีคนทำเช่นนั้น แต่ก็มีเหตุผล มีบางคนทำทุกวิถีทางอย่างไร้ยางอาย สามาภรรยาประเภทนี้ไม่มีความหมายเลย”

นี่คงไม่ได้หมายถึงเจ้าของร่างเดิมกระมัง

เห็นได้ชัดว่าเย่จิ่งอวี้ได้ผลประโยชน์แล้วยังมาทำตัวเหมือนขาดทุน

แม้ว่าเขาจะถูกบังคับทั้งคืน แต่ผู้ที่รู้สึกสบายตัวก็คือเขา แล้วยังต้องกังวลอะไรอีก

หรือว่าชายโบราณถือพรหมจรรย์งั้นรึ

อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ระหว่างสามีและภรรยา ไยจึงต้องไร้ยางอายต่อกันอีก แม้ว่าฝ่ายหญิงจะทำอะไรลงไป ก็เป็นเพราะนางรักสามีเกินไป เช่นเดียวกับพระสนมเสียนผิน ที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างหน้าไม่อายหลายต่อหลายครั้ง ก็มิใช่เพราะใจรักหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยื้อไม่เลิกเช่นนี้”

ตอนที่ย่าของนางพยายามเกลี้ยกล่อมให้คู่สามีภรรยาที่อยู่ข้างบ้านเลิกทะเลาะกัน ก็มักจะพูดว่า ทะเลาะที่หัวเตียงคืนดีกันที่ปลายเตียงไม่ใช่หรอกหรือ คงหมายถึงแบบนั้นกระมัง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็อ่อนลงเล็กน้อย

ถ้าเป็นเพราะชอบจริงๆ ก็เข้าใจได้

อินชิงเสวียนแอบเหลือบแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเมฆหมอกกำลังจะหมดไป ดังนั้นนางจึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือไม่...ให้กระหม่อมตามเสด็จไปที่หอฉงฮวา”

หลายวันแล้วที่นางไม่ได้ขายของ ในใจยังคงคิดเรื่องเงินอยู่มิเสื่อมคลาย

เย่จิ่งอวี้ตะคอกอย่างเย็นชาและลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ข้าไม่มีอารมณ์เช่นนั้น”

อินชิงเสวียนเหลือบมองหนังสือบนโต๊ะ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทก็อ่านหนังสือ จะได้รีบเข้านอนเร็วๆ กระหม่อมขอทูลลา”

เมื่อมองดูดวงตาที่ยิ้มแย้มซึ่งมีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ความโกรธในใจของเย่จิ่งอวี้ก็หายไปอย่างลึกลับ

เดิมทีอยากจะทำให้นางกลัวบ้าง แต่ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ ความโกรธที่อัดอั้นมาทั้งวันก็หายไปสิ้น

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ พรุ่งนี้หลังประชุมเช้า ข้าจะส่งเสี่ยวหนานเฟิงไปอยู่ที่ตำหนักจินหวู่ ให้น้องสาวของเจ้ากับยายหลี่ไปรับใช้ด้วย”

เมื่อได้ยินดังนี้ อินชิงเสวียนก็สะดุ้งโหยง

สถานที่ที่มีชื่อว่าตำหนักล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าพระสนมชั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเคยได้ยินคนพูดกันว่าตำหนักจินหวู่เป็นที่พำนักของมารดาผู้ให้กำเนิดของเย่จิ่งอวี้

หากเขาให้ความสำคัญกับเสี่ยวหนานเฟิงมากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นจะยังสามารถหลบหนีได้หรือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์