สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 142

สรุปบท บทที่ 142 เกี้ยวฮองเฮา: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

สรุปตอน บทที่ 142 เกี้ยวฮองเฮา – จากเรื่อง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

ตอน บทที่ 142 เกี้ยวฮองเฮา ของนิยายโรแมนติกเรื่องดัง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดยนักเขียน GoodNovel เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เย่จิ่งอสรุปเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านโหวเหนือกลับมายังราชสำนัก ทำให้ข้าคลายความกังวลได้พอดี ข้าได้เตรียมมอบหมายให้ท่านโหวเหนือและอันผิงอ๋องนำกองกำลังไปยังเจียงวูเพื่อปราบกบฏ พวกท่านคิดว่าอย่างไร”

แม่ทัพที่อยู่ในราชสำนักอยู่อย่างสบายมานานแล้ว ไม่เลือดร้อนเหมือนเมื่อก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีใครพูดคัดค้าน แม้แต่แม่ทัพที่วิพากษ์วิจารณ์ขันทีว่าอ่อนแอเหมือนไก่ก็ยังเงียบเหมือนไก่เสียเอง ไม่เปล่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ

ขณะที่มองดูเศษสวะไร้ประโยชน์เหล่านี้ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปล่งประกายด้วยความเหยียดหยัน

“ในเมื่อทุกท่านไม่พูดอะไร เช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ ถ้าไม่มีใครจะถวายฎีกาอีก ก็เลิกประชุมเถอะ”

โหราจารย์พูดเสียงดังทันที “กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาท”

ทันทีที่เขาพูด ทุกคนก็พูดคล้อยตาม เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น เย่จิ่งอวี้ก็หายไปแล้ว

ณ ตำหนักฉือหนิง

เรื่องที่ฮ่องเต้จะรับดาวมงคลย้ายเข้าไปในตำหนักจินหวู่ ในไม่ช้าก็ไปถึงหูของไทเฮา ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้ยินว่าเย่จิ่งอวี้ให้อันผิงอ๋องออกศึกแดนไกล นางโกรธมากจนตัวสั่น ปลายนิ้วก็สั่นไหวๆ

นางคว้าหยกหรูอี้ซึ่งปกติมักจะถือเล่นด้วยแรงทั้งหมด กัดฟันพูดว่า “เห็นได้ชัดว่าเย่จิ่งอวี้ต้องการกำจัดเราสองแม่ลูกให้สิ้นซาก!”

หลิวหมัวมัวกล่าวว่า “ไทเฮาไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก ตอนนี้ท่านอ๋องรายงานว่าป่วย หมอหลวงก็ได้ไปวินิจฉัยและรักษาเขาแล้ว ฮ่องเต้คงไม่ปล่อยให้ท่านอ๋องไปทำสงครามทั้งๆ ที่ยังป่วยเช่นนี้ เชื่อว่าเมื่อหมอหลวงกลับมา เขาจะไปรายงานเรื่องนี้ที่ห้องหนังสือเอง”

ไทเฮาตรัสด้วยใบหน้ามืดมน “ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถป่วยไปตลอดชีวิตได้ ถ้าเขาหายดี เย่จิ่งอวี้จะพยายามหาทางขับไล่เขาออกจากเมืองหลวงแน่”

“แต่ก็สามารถยื้อเวลาด้วยอาการป่วยได้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยคิดหาทางอื่น”

หลิวหมัวมัวกล่าวแนะนำ แล้วพูดอีกว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาแล้ว ท่านอ๋องสิบสามจะต้องกลับเมืองหลวงอย่างแน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเสด็จอานั้นดีมาก ถ้าท่านอ๋องสิบสามพูด อาจมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้”

ไทเฮาพยักหน้า พูดด้วยความว้าวุ่นใจ “คงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับเย่จั้นเท่านั้น ตั้งแต่เย่จิ่งอวี้กลายเป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาก็ยากที่จะคาดเดามากขึ้น”

พอนึกถึงเรื่องที่จะพาเด็กไปพักที่ตำหนักจินหวู่ ก็ทำให้ไทเฮารู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง

“ตำหนักจินหวู่ถูกปิดมาหลายปีแล้ว ตอนนี้กลับเปิดให้เด็กไปอยู่ หรือว่าฮ่องเต้รู้แล้วว่าเด็กคนนั้นคือสายเลือดมังกรของเขา”

โดยที่ไม่รู้เลยว่า เพราะคำพูดของนางนั่นเองที่ไปกระตุ้นความสงสัยของเย่จิ่งอวี้

หลิวหมัวมัวยืนข้างๆ แล้วพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไทเฮาจะทำเช่นไรเพคะ”

ไทเฮากัดฟันกล่าวว่า “ตอนนี้เราไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แต่รอดูการเคลื่อนไหวต่อไปของเย่จิ่งอวี้ แล้วค่อยจะพิจารณาไปตามนั้น”

จากนั้นก็พูดอย่างขมขื่น “อินชิงเสวียนหญิงเลวผู้นี้ กล้ามีเล่ห์กลกับข้า ความขุ่นเคืองนี้ ข้าไม่มีทางทนได้”

หลิวหมัวมัวถามหยั่งหางเสียง “ถ้าฝ่าบาทรู้ตัวตนของนางจริงๆ และตั้งนางเป็นฮองเฮา...”

ไทเฮารีบขัดจังหวะนางทันที

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน หากลูกสาวของขุนนางกบฏสามารถเป็นฮองเฮาได้ ราชสำนักจะเหลือกฏใดได้อีก แม้ว่าขุนนางอาวุโสในราชสำนักจะไม่เห็นด้วย แต่พวกเราก็ต้องหาทางช่วยเสียนเอ๋อร์ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น”

ไทเฮาวางหยกหรูอี้ลง ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อพูดถึงตระกูลอินแล้ว ข้ายังคงมีข้อกังขาที่ค้างอยู่ในใจ”

หลิวหมัวมัวรีบถาม “ไม่ทราบว่าไทเฮาคิดสิ่งใดหรือเพคะ”

“ตอนนั้นเย่าเอ๋อร์ใส่ร้ายอินจ้งด้วยความโกรธเพราะขุนนางเฒ่านั่นไม่ได้ช่วยเหลือเขาก็จริง แต่ฮ่องเต้กลับค้นพบจดหมายขนนกของราชวงศ์เจียงวูซ่อนอยู่ในตระกูลอิน เรื่องนี้เพราะอะไรกัน ขนนกนี้ต้องไม่ใช่การปลอมแปลงแน่นอน เหลือเชื่อจริงๆ”

นางยังเคยถามเย่จิ่งเย่า แต่เขาก็ตอบว่าจดหมายนั่นไม่ใช่ฝีมือของเขา

หลิวหมัวมัวกล่าวว่า “บางทีอินจ้งอาจเป็นกบฏจริงๆ แต่เขาเก็บซ่อนไว้ลึกพอ จึงไม่ถูกค้นพบเท่านั้นเพคะ ไทเฮาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดเรื่องตระกูลอินเลยจริงๆ ไม่ว่าอินชิงเสวียนจะเก่งกาจปานใด หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอิน เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อีกครา ที่ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขาต้องการรั้งเด็กไว้เท่านั้น”

ไทเฮาแค่นเสียงหึขึ้นจมูก กล่าวว่า “คำพูดนี้กล่าวผิดอย่างมหันต์ ไม่เคยได้ยินเรื่องมารดาพึ่งบารมีของบุตรชายหรือ บางทีฮ่องเต้อาจจะสอบสวนเรื่องของตระกูลอินอีกครั้งก็ได้ ถ้าตระกูลอินกลับคืนสู่ราชสำนัก เย่าเอ๋อร์จะยิ่งไม่มีที่ยืน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

หลิวหมัวมัวกระซิบ “ไทเฮาตรัสถูกแล้ว แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่โปรดพระสนมเสียน”

ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้ผล พวกเราก็ต้องหาคนอื่น วังหลังนี้ต้องอยู่ในมือของเราเท่านั้น หลิวหมัวมัว ส่งคนไปเรียกสวีจือย่วนมาให้ข้าหน่อย...”

ณ วังเย็น

มีเพียงอินชิงเสวียนเท่านั้นที่ดูเคร่งขรึม

นางถอดกล้องวงจรปิดและเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กออกทั้งหมด แล้วนำไปเก็บไว้ในมิติ รวมถึงของเล่นและอาหารบางส่วน จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่ยังไม่เข้าใจขึ้นมา

พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไปกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายจับมือกัน เพียงไม่กี่สิบก้าวก็เดินไปด้วยอาการตัวสั่นเทา

อินชิงเสวียนมองย้อนกลับไปที่พวกนางทั้งสอง แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

พวกนางต้องทนทุกข์ทรมานในวังเย็นเป็นเวลาหนึ่งปีกับเจ้าของร่างเดิม และถึงเวลาแล้วที่พวกนางจะต้องออกไปใช้ชีวิตตามปกติ

นางยกมือขึ้นแล้วผลักเปิดประตูตำหนักเสียงเอี๊ยดอ๊าด

เกี้ยวประทับพู่สีแดงหลังหนึ่งก็ปรากฏในคลองสายตา

หงส์ทองสองตัวกางปีกอยู่ด้านบน ส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางแสงแดด ทำให้คนไม่สามารถลืมตามองได้

ยายหลี่อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเพื่อบังแสงพราวระยับนั้น นางแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลวดลายบนนั้นชัดเจน

นี่มัน...เกี้ยวพระที่นั่งของฮองเฮาไม่ใช่หรือ

“เสี่ยวเสวียนจื่อ เจ้าออกมาได้เสียที”

เสี่ยวอานจื่อทำสีหน้ายินดี แล้วตะโกนสุดเสียง “ฝ่าบาทมีพระบัญชา ดาวมงคลยังเยาว์วัย ไม่อาจนั่งเกี้ยวเพียงลำพังไป มีรับสั่งให้เสี่ยวเสวียนจื่ออุ้มดาวมงคลนั่งเกี้ยวไปที่ตำหนักจินหวู่ด้วยกัน”

เขาใช้ศอกกระแทกอินชิงเสวียนเบาๆ และลดเสียงลง

“นี่คือเกี้ยวพระที่นั่งของฮองเฮาเชียวนะ วันนี้เจ้ามีวาสนาแล้ว รีบขึ้นไปนั่งดูเร็ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์