แม้ว่าสวีจือย่วนจะไม่รู้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงเป็นลูกของอินชิงเสวียน แต่นางก็รู้สึกคลุมเครือว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
ตอนนี้สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดคือ อินชิงเสวียนกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวีจือย่วนก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “หานปิง เอาชุดฟางกันฝนมาให้ข้าหน่อย”
“นายหญิง ฝนตกหนักมากขนาดนี้ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ”
ใบหน้าของสวีจือย่วนเคร่งขรึมทันที “ไม่ต้องถาม แค่ไปเอามาก็พอ”
หานปิงรีบนำชุดฟางกันฝนมาสองตัวมาอย่างรวดเร็ว สวีจือย่วนสวมใส่แล้วออกเดินไปยังตำหนักจินหวู่ทันที
เมื่อพวกนางมาถึงประตูตำหนัก ก็ถูกขวางด้วยทหารรักษาพระองค์
“ฝ่าบาทสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไป”
“ข้าเป็นเพื่อนของเสี่ยวเสวียนจื่อกงกง รบกวนส่งพี่ชายสักคนไปบอกเขาด้วย”
ฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว แม้จะสวมชุดฟางกันฝน เสื้อผ้าของสวีจือย่วนก็เปียกอย่างรวดเร็ว
ฝนตกหนักตกลงมาจากด้านบนของศีรษะ ทำให้ดวงตาพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง
พวกทหารรักษาพระองค์เชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้เท่านั้น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร
พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องมาพูดว่าเจ้าเป็นเพื่อนของเสี่ยวเสวียนจื่อกงกง แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้ามาก็เข้าไปไม่ได้ รีบถอยกลับไปเถอะ”
หานปิงรู้สึกเสียใจแทนนายหญิงของตน หยิบก้อนเงินหยวนเป่าออกจากแขนเสื้อทันที
“ขอให้พี่องครักษ์โปรดช่วยด้วยเถอะ”
องครักษ์เปิดดูก้อนเงินของนาง แล้วพูดอย่างเย็นชา “ไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“แล้วข้าล่ะ”
เสียงที่เย่อหยิ่งดังมาจากด้านหลัง เมื่อสวีจือย่วนหันกลับมา ก็เห็นลู่จิ้งเสียนในชุดที่งดงามทันที
นางกำนัลสามสี่คนถือร่มทรงพุ่มขนาดใหญ่ให้นาง ซึ่งนางดูสะอาดมาก สวมกระโปรงสีม่วง แต่งหน้าสดใส ซึ่งทำให้นางดูงดงามจริงๆ
องครักษ์ยิ้มและเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ที่แท้ก็พระสนมเสียนผิน ขอพระสนมโปรดยกโทษให้ข้าด้วย ฮ่องเต้ทรงมีบัญชา ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามใกล้ตำหนักจินหวู่เด็ดขาด”
ลู่จิ้งเสียนเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา ทุกคนในวังรู้เรื่องนี้ ดังนั้นองครักษ์จึงไม่กล้าพูดจารุนแรงเกินไป
ลู่จิ้งเสียนแค่นเสียงอย่างเย็นชา พูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อนำพรมาสู่ดาวมงคล พวเจ้าจะไม่อำนวยความสะดวกให้ข้ารึ”
องครักษ์ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “โปรดยกโทษให้ด้วย”
ลู่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะฟึดฟัด และหันไปมองสวีจือย่วน
ดวงตามองกวาดไปยังใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงามนั้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
“เจ้ามาจากตำหนักใด ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”
สวีจือย่วนกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าคือสวีจือย่วนจากหอสุ่ยอวิ้น น้อมคำนับพระสนมเสียผิน”
ดวงตาของลู่จิ้งเสียนวูบไหวอย่างเย็นชา แล้วนางก็ก้าวไปข้างหน้า และบีบคางของสวีจือย่วน
“ที่แท้คือนางร่างที่ดีดพิณร้องเพลงได้”
สวีจือย่วนก้มศีรษะลง ไม่กล้าโต้แย้ง
แม้แต่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงในวังหลังก็สามารถบดขยี้ใครจนตายไก้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นเพียงนายหญิงที่ยังที่ไม่มีตำแหน่งด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นนางก้มหน้าก้มตา ลู่จิ้งเสียนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ถีบนางลงไปที่พื้น
“รูปร่างหน้าตาก็แค่นี้ คิดหรือว่าฝ่าบาทฟังเพลงของเจ้าเพียงไม่กี่เพลง ก็จะตกหลุมรักเจ้าได้ ช่างน่าขันยิ่งนัก”
สวีจือย่วนล้มอยู่ท่ามกลางสายฝน แล้วจึงรีบคุกเข่าลงด้วยความเคารพ
เมื่อเห็นรอยรองเท้าบนร่างของนายหญิงตน หานปิงก็รีบเอาตัวมาบังแทนสวีจือย่วน
“พระสนมโปรดระงับโทสะ ฝ่าบาทเพียงต้องการฟังเพลง นายหญิงมิได้ยั่วยวนฝ่าบาท”
ลู่จิ้งเสียนเหยียดยิ้ม พูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร กล้าพูดมากต่อหน้าข้าได้อย่างไร เด็กๆ ตบปากนาง”
ชุ่ยจู๋รีบวิ่งเข้ามาราวกับหมาป่าดุจดั่งเสือที่เห็นเหยื่อ แล้วก็ตบหน้าหานปิง
เมื่อสวีจือย่วนเห็นสาวใช้ถูกทุบตี นางก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง นางคุกเข่าลงและอ้อนวอนขอความเมตตา “สาวใช้ไม่รู้ความ ขอพระสนมโปรดยกโทษเพื่อเห็นแก่ความเป็นเด็กของนางด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...