"ท่านนี้คือนายหญิงจากหอสุ่ยอวิ้นที่ฝ่าบาททรงโปรด เจ้าช่วยผ่อนผันให้หน่อยเถิด"
หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน องครักษ์ก็ยังไม่สะทกสะท้าน
"ไม่ได้ ถาจะเข้าเจ้าก็ต้องเข้าไปคนเดียว"
จุ๊ๆ เชื่อฟังดีจริงๆ
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน จะได้ป้องกันไม่ให้พวกลูกหมาลูกแมวมาลักพาตัวเสี่ยวหนานเฟิงไป
"เช่นนั้นก็ได้ งั้นเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า"
ซ้ายมือของตำหนักจินหวูมีสวนกล้วยไม้อยู่ อินชิงเสวียนเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในสวน และนั่งลงที่บันไดตอนหนึ่ง
"ระยะนี้นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง"
หานปิงกำลังจะพูด แต่ถูกสายตาของสวีจือย่วนหยุดไว้
"ก็ดี หานปิง เจ้าไปเฝ้าอยู่ตรงนั้นนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเสี่ยวเสวียนจื่อ"
หานปิงตอบรับแล้วเดินไปเฝ้าอยู่อีกด้าน จากนั้นสวีจือย่วนก็คว้ามือของอินชิงเสวียนไว้
"เรื่องตระกูลอิน เจ้าวางแผนไว้ว่าจะทำอย่างไร"
อินชิงเสวียนอึ้งกับการถูกถามไปชั่วขณะ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะสามารถทำตามที่ตัวเองคิดได้
ตระกูลอินทั้งครอบครัวไม่ได้ถูกล่ามตรวน เย่จิ่งอวี้ก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องของตระกูลอินเพราะเรื่องของอินสิงอวิ๋น นี่นับว่าเป็นความโชคดีท่ามกลางความโชคร้ายแล้ว
"เรื่องนี้ต้องรอโอกาส เร่งรีบไม่ได้"
นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับสวีจือย่วนด้วยเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน "พี่ใหญ่ข้ายังไม่ตาย แถมยังอยู่ในเมืองหลวง"
"อะไรนะ"
ดวงตาของสวีจือย่วนเบิกกว้างด้วยความตกใจ มุมปากของนางสั่นเทา
"หรือว่า...เจ้าได้พบเขาแล้ว"
อินชิงเสวียนพยักหน้า
"แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพเงา แต่นั่นน่าจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า"
สวีจือย่วนกำนิ้วของนางอีกครั้ง ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
"เขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน"
"เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในเมื่อเขาจำข้าได้แล้ว เขาต้องติดต่อมาหาข้าอีกแน่นอน"
ที่อินชิงเสวียนพูดเช่นนี้ นางก็มีข้อพิจารณาของนางเองเช่นกัน
ตอนนี้ตัวเองเหมือนอยู่โดดเดี่ยวในวัง หากเกิดอะไรขึ้น นางคงไม่มีผู้ใดมาปกป้องนางด้วยซ้ำ ดังนั้น นางจึงต้องดึงคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหลายคน เอาไว้เผื่อ
นอกจากนี้เนื่องจากความสัมพันธ์ของอินสิงอวิ๋น สวีจือย่วนไม่น่าจะทรยศต่อนางในตอนนี้ และท่าทีของเย่จิ่งอวี้ที่มีต่อนางก็แตกต่างจากนายหญิงผู้อื่น บางทีเมื่อเกิดเรื่องขึ้นในภายหน้า นางอาจช่วยขอร้องแทนตัวเองก็ได้
เมื่อเงนหน้าขึ้น ใบหน้าของสวีจือย่วนก็เต็มไปด้วยน้ำตา
กลืนก้อนละอื้นลงคอพูดว่า "เขายังมีชีวิตอยู่ ดีจัง! สวรรค์คงได้ยินคำอธิษฐานของข้าแล้วแน่ๆ"
"อืม ถ้าข้าได้พบเขา จะช่วยเจ้าถ่ายทอดความคิดถึงของเจ้าที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน"
"ไม่ได้นะ"
แก้มของสวีจือย่วนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แล้วก้มหน้าก้มตาพูดว่า "อย่าพูดเหลวไหล"
อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า "ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้า"
จากนั้นสวีจือย่วนก็เงยหน้าขึ้น
"ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องสิบสามกลับมาเมืองหลวงแล้ว ยังได้ยินมาด้วยว่าฝ่าบาทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาก หากเจ้าสามารถออกจากวังได้ บางทีเจ้าอาจไปขอร้องเขาได้"
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างจนใจ
"เรื่องของตระกูลอินอาจซับซ้อนกว่าที่ข้าคิด และวันนี้ท่านอ๋องก็ได้ขอร้องแทนตระกูลอินแล้ว"
"อา! แล้ว...ฝ่าบาทว่าอย่างไร"
อินชิงเสวียนบีบสันจมูก แล้วพูดว่า "หากจะตัดเรื่องความสัมพันธ์แล้ว ฝ่าบาทนับว่าปรานีต่อตระกูลอินมากแล้ว หากขอร้องเรื่องอื่นอีก เกรงว่าจะไม่ง่าย"
สวีจือย่วนถอนหายใจแล้วพูดว่า "เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี"
"ทนอีกสักระยะเถอะ ข้าจะหาโอกาสไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท"
อินชิงเสวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดในใจ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเย่จิ่งอวี้จะพูดอะไรกับเย่จั้นอีก เสียดายที่ไม่ได้ยิน!
สวีจือย่วนลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าออกมาได้สักพักแล้ว ต้องกลับไปก่อน ประเดี๋ยวผู้อื่นเห็นเข้าจะมองไม่ดี เจ้าต้องระวังให้มากขึ้น ถ้ามีปัญหาให้มาหาข้า แม้ตัวข้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ข้าก็จะช่วยเจ้า"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...