เรื่องที่อินชิงเสวียนจับสัตว์ประหลาดและขอฝน ทำให้ผู้คนในวังหวาดกลัวนาง แม้ว่าชุ่ยจู๋จะมีความหยาบคาย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคิ้วคว่ำ ใจของนางอดที่จะสั่นไหวไม่ได้ และไม่กล้าพูดอะไร
ลู่จิ้งเสียนถูกตบจนผมยุ่งเหยิง แต่ปากยังคงตะโกนพูดจาไม่ปรานีคน “นังคนชั้นต่ำ กล้ามาตบตีข้า เสด็จป้าหญิงของข้าเป็นถึงไทเฮา หากรู้ว่าเจ้ากระทำกับข้าเช่นนี้ จะต้องไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”
เสี่ยวอานจื่อโมโหขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นและตบบ้องหูลู่จิ้งเสียนอยู่หลายที
“ท่านกล้ามาด่าเหนียงเหนียงของเรา หาเรื่องโดนตบ”
“โอ๊ย! ช่วยข้าด้วย!”
ลู่จิ้งเสียนถูกตบจนเกลือกกลิ้งไปทั่วเตียง เมื่อถูกข่มขู่ด้วยท่าทีดุดันของพระนางเหยาเฟย คนในวังไม่กล้าขยับและไม่กล้าเงยหน้า
อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา “ครั้งนี้เจ้านึกจะตะโกนให้ช่วยชีวิตงั้นหรือ ตอนที่ทุบตีผู้อื่น ทำไมไม่คิดว่าตัวเองจะเจ็บบ้างเล่า”
ลู่จิ้งเสียนเริ่มด่าในทันที
“ชั้นต่ำ เจ้าก็แค่คนชั้นต่ำ”
“ยังกล้าต่อปากอีก”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะเดือดดาล นางรีบเร่งฝีเท้ารุดเข้าไป คว้าหม้อเครื่องลายครามบนโต๊ะแล้วทุบลงบนหัวของลู่จิ้งเสียน
“วันนี้ข้าจะจัดระเบียบฝีปากเน่าๆ ของเจ้าให้ดี เสี่ยวอานจื่อ ถอดรองเท้าออกมา ใช้พื้นรองเท้าตบปากของนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอานจื่อถอดรองเท้าออกในทันที และตบที่ปากของลู่จิ้งเสียน
ปากของลู่จิ้งเสียนบวมขึ้นมาในทันที ศีรษะก็ถูกทุบเสีบจนแตกเลือดไหล ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้ม เกรงว่าอินชิงเสวียนจะพาลมาโกรธตนเองด้วย
เมื่อเห็นเลือดบนศีรษะของลู่จิ้งเสียนไหลลงทีละหยดจากหน้าผากจนถึงกระโปรงของ อินชิงเสวียนก็กลัวว่าจะทำนางตาย และจะอธิบายได้ยาก
จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลู่จิ้งเสียน เจ้ายังกล้าด่าอีกหรือไม่?”
ลู่จิ้งเสียนกัดฟันกรอด มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากและจมูกนาง จะกล้าด่าอีกได้อย่างไร ไม่ว่านางจะดื้อด้านแค่ไหน นางก็ยังกลัวความตาย
ร้องไห้และพูดว่า “เหนียงเหนียงประทานอภัย กระหม่อมไม่กล้าแล้วเพคะ”
อินชิงเสวียนมองนางอย่างเยือกเย็น และพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เช่นนั้นก็จงจำไว้ให้ดี หากไทเฮาไปหาเรื่องสวีจือย่วนอีกเพียงครั้งเดียว ข้าก็จะมาสั่งสอนเจ้าครั้งหนึ่ง จนกว่าพวกเจ้าจะยอมหยุดดีๆ”
ลู่จิ้งเสียนคลานตัวและล้มลงคุกเข่าบนพื้น ตัวสั่นไปทั้งตัว
“กระหม่อมไม่กล้าแล้ว กระหม่อมไม่กล้าอีกแล้ว”
อินชิงเสวียนเหลือบมองนางด้วยความรังเกียจ เสี่ยวอานจื่อพูดว่า “เราไปกันเถอะ!”
เมื่อออกจากวังจิ้งอาน เสี่ยวอานจื่อก็ยกนิ้วโป้งขึ้นทันที
“เหนียงเหนียง เมื่อครู่ท่านดุดันมากทีเดียว”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนคลายลงมากแล้ว
“เพราะพวกนางหาเรื่องก่อน แน่นอนว่าไม่ต้องเกรงใจ หากมีใครกล้าตบหน้าพวกเรา เช่นนั้นก็ต้องหวนคืนเป็นเท่าทวีคูณ”
อินชิงเสวียนพูดจบ ก็พูดเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง
“แต่ก็ไม่สามารถก่อเรื่องโดยไร้เหตุ”
“หม่อมฉันรู้แล้วเพคะ”
“รู้ก็ดีแล้ว กลับกันเถอะ”
อินชิงเสวียนสงบสติอารมณ์ลงครู่หนึ่ง และนำเสี่ยวอานจื่อเดินไปยังตำหนักจินหวู ทันใดนั้นลูกบอลก็ถูกเตะออกมาจากตรอก และหยุดอยู่ที่เท้าของ
อินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนค้อมเอวลงเก็บบอล แต่กลับต้องตกใจในรูปแบบของบอล
นี่คือลูกฟุตบอลสมัยใหม่ อีกทั้งมันยังใหม่มาก
เด็กชายตัวเล็กอายุเจ็ดแปดขวบวิ่งออกจากตรอก เด็กชายมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เด็กผู้ชายมี่ละม้ายคล้ายเด็กผู้หญิง ดวงตาของเขาสดใสเป็นพิเศษ แสงสว่างจ้าหนักแน่นอยู่ข้างใน
เขาจ้องลูกบอลตาเป็นมัน พูดขึ้นเสียงเบา “ท่านเหนียงเหนียง เอาลูกบอลคืนให้ข้าได้หรือไม่?”
อินชิงเสวียนมองเขา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือ...”
เด็กชายหันไปคำนับนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...