เย่จิ่งอวี้เดินลงมาจากรถม้าพระที่นั่งมังกร พลางพูดขึ้นเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ซูฉ่ายเวยยืดตัวตรงและพูดขึ้น “เมื่อวานกระหม่อมคิดจะมาเยี่ยมพระนางเหยาเฟย แต่ฝนตกอยู่ตลอด วันนี้เมื่อฝนหยุด กระหม่อมจึงรีบเข้ามาเยี่ยมเยียบเพคะ”
เย่จิ่งอวี้กวาดตาเหลือบมองนางด้วยแววตานิ่งๆ
“พระสนมมีน้ำใจมาก ตามข้าเข้ามาสิ”
“เพคะ”
ซูฉ่ายเวยเดินตามฝีเท้าของเย่จิ่งอวี้ด้วยความยินดีปรีดา เมื่อเห็นเงาของคนสองคนซ้อนทับกัน ในใจฉันก็เกิดความยินดีอีกครั้ง
ตัวเองควรจะมาเดินที่นี่ให้มากขึ้น ตราบใดที่ได้เห็นฝ่าบาท มักจะมีโอกาสเสมอ
อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ นับตั้งแต่ผ่านไปร้อยวัน เสี่ยวหนานเฟิงก็ไม่ยอมนอนกลางวันอีกเลย ต่อให้นอนหลับ แต่เพียงครู่เดียวก็ตื่นขึ้นมา อีกทั้งยังติดอินชิงเสวียนมากเป็นพิเศษ เพียงแค่เห็นหน้านางก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดอุ้มเลย
ลูกมีความใกล้ชิดกับตัวเองเช่นนี้ อินชิงเสวียนจึงดีใจมาก
ตามความหมายที่แท้จริง นางไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของเสี่ยวหนานเฟิง ต่เด็กคนนี้เกิดจากร่างกายปัจจุบันของนาง แม้ไม่มีความผูกพันในการตั้งครรภ์ตลอดสิบเดือน แต่มีความรู้สึกผูกพันกันทางสายเลือด รวมถึงการได้อยู่ร่วมกันทั้งกลางวันและกลางคืนในช่วงหลายวันนี้ อินชิงเสวียนจึงรักเสี่ยวหนานเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ และแอบสาบานในใจว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะชุบเลี้ยงให้เสี่ยวหนานเฟิงเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น
ตอนนี้นางกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ และสอนให้เขาดูภาพเพื่อเรียนตัวอักษร
“ใหญ่ เล็ก มาก น้อย คน ปาก มือ!”
เสี่ยวหนานเฟิงจำมือได้ในทันที เขาใช้นิ้วมือเล็กๆ ชี้ไปที่รูปภาพ เงยหน้าขึ้น แล้วโบกสะบัดมือที่อ้วนท้วนของเขา
อินชิงเสวียนรีบเอ่ยชมในทันที “ถูกต้อง นี่ก็คือมือ”
ในระหว่างที่พูด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านหลังมีซูฉ่ายเวยที่สีหน้ายิ้มแย้มเดินตามหลังมาด้วย
อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมทั้งสองคนจึงมาด้วยกันได้?
ซูฉ่ายเวยรีบเดินขึ้นมาหลายก้าว ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “น้องเหยาเฟย ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงลุกขึ้น ยิ้มและพูดว่า “ขอบพระทัยพระสนมเหนียงเหนียงที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
นี่คือลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของนาง จึงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง
เย่จิ่งอวี้รับตัวของเสี่ยวหนานเฟิงมา และหอมลงบนใบหน้าอ้วนท้วนของเขา
“จ้าวเอ๋อร์ไม่นอนกลางวันเลยหรือ?”
“หลายวันนี้กระปรี้กระเปร่ามากเลยทีเดียวเพคะ พระสนมเหนียงเหนียงเชิญนั่ง”
อินชิงเสวียนพูดขึ้นประโยคหนึ่ง และให้อวิ๋นฉ่ายยกอาหารว่างและน้ำชาเข้ามา
ซูฉ่ายเวยรีบพูดว่า “น้องเหยาเฟยรีบนั่งลงเถอะ เมื่อวานเห็นเจ้าร่างกายอ่อนเพลีย ข้ายังเป็นห่วงอยู่ตลอด วันนี้เห็นเจ้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าเองก็วางใจ”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียน พูดติดตลกขึ้นว่า “จิตวิญญาณของนางดีเลยทีเดียว สามารถจับมังกรและปราบเสือได้เลยล่ะ”
อินชิงเสวียนเข้าใจในทันที เขาคงได้ยินเรื่องที่วังหลังแล้ว
“ฝ่าบาทมาถึงที่นี่ คงไม่ใช่มาเพื่อคาดโทษหรอกนะเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกนั่งบนเก้าอี้ พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสในดวงตาของเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ยิงธนูโดยไม่มีเป้า เจ้าไปก่อเรื่องกับลู่จิ้งเสียน แน่นอนว่าเป็นเพราะนางหาเรื่องเจ้าก่อน นับตั้งแต่เข้าวัง นางก็ยโสโอหังมาโดยตลอด ไร้ผู้คนอยู่ในสายตา ถูกต้องแล้วที่ต้องว่ากล่าวสั่งสอนเสียหน่อย เพียงแต่ต้องอย่าลืมนึกถึงความพอดี”
เย่จิ่งอวี้กัดฟันพูดประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพลู่จิ้งเสียนหัวแตกเลือดไหล นางทำโทษโหดเหี้ยมไปจริงๆ
ค้อมเอวและกล่าวยินดี “กระหม่อมน้อมรับคำสั่งสอนของฝ่าบาทเพคะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องลุกขึ้นยืนหรอก ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่ นั่งลงพูดเถอะ”
เมื่อเห็นฝ่าบาทมีความแน่นแฟ้นเช่นนี้กับอินชิงเสวียน ซูฉ่ายเวยอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ หากว่าฝ่าบาทดีต่อนางได้สักหนึ่งในหมื่นเปอร์เซ็นต์ ก็เพียงพอแล้วสำหรับนางที่จะหลั่งน้ำตาแสดงความขอบคุณ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...