สวีจือย่วนรีบบีบนิ้วของนางอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับและพูดว่า “ไม่เป็นไรเพคะ อีกสักครู่ก็จะหายดี กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอถวายบังคมพระสนมเหนียงเหนียง”
หานปิงได้นำผ้าสีขาวผืนหนึ่งมาแล้ว
“พระสนม พันแผลไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
ซูฉ่ายเวยยิ้มและพูดว่า “รีบหน่อยเถอะน้องสาว อย่าให้ฝ่าบาทต้องเป็นกังวลเลย”
สวีจือย่วนจึงยื่นนิ้วออกมา ให้หานปิงพันนิ้วให้
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองใบหน้าของนาง ยังคงบวมแดงเล็กน้อย
การทุบตีนางสนมเพราะความผิดที่ไม่มีมูลเช่นนี้ ไทเฮาช่างน่าขยะแขยงจริงๆ
เขาขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหยาเฟยได้บอกข้าแล้ว ทำให้เจ้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรม”
สวีจือย่วนก้มลงอย่างสง่างามและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาททรงเป็นห่วง กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจมาก ขอฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิพระนางเหยาเฟย นางทำเพื่อกระหม่อมเพคะ”
ซูฉ่ายเวยพูดต่อว่า “เจ้าวางใจเสียเถอะ ฝ่าบาทจะตำหนิน้องเหยาเฟยได้อย่างไร”
เมื่อนึกถึงท่าทางของอินชิงเสวียนที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้น และทันใดนั้นเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงมาก
“นางไม่ได้มีความผิดอะไร ข้าไม่ตำหนินางแน่นอน”
สวีจือย่วนโล่งใจในทันที
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เมื่อเห็นพวกนางสองคนเป็นห่วงซึ่งกันและกันเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ชื่นใจขึ้นมา
เขาเดินมายังด้านหน้าโต๊ะทำงาน มองไปยังชุดเสื้อผ้าที่ยังเย็บปักไม่เสร็จ ยิ้มและถามว่า “เจ้าทำให้จ้าวเอ๋อร์งั้นหรือ?”
สวีจือย่วนพยักหน้าเบาๆ
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่างเสียจนไม่มีอะไรทำ จึงทำให้เด็กน้อยเยอะหน่อยเพคะ”
“เย็บปักได้ดีมาก เชื่อว่าพระนางเหยาเฟยและจ้าวเอ๋อร์ต่างก็ต้องชอบ”
เย่จิ่งอวี้หยิบขึ้นมาดู และถามว่า “ในตำหนักขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่?”
สวีจือย่วนตอบด้วยความเคารพ “ไม่มีเพคะ ทุกสิ่งพอดีมากเพคะ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ระมัดระวังของนาง เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าดูเหมือนไม่ค่อยเป็นตัวเองเลยนะ ข้าจะกลับไปแล้ว หากมีปัญหาใดที่จัดการไม่ได้ ก็ไปหาข้าได้”
สวีจือย่วนรีบพูดขึ้นตามหลัง “ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมทูลลาฝ่าบาทเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ตอบรับ และก้าวเท้าออกนอกประตูตำหนัก
เมื่อเขาจากไปแล้ว หานปิงก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ในใจของฝ่าบาทยังทรงมีพระสนมอยู่ เหตุใดไม่ทรงให้ฝ่าบาทอยู่ต่ออีกหน่อยเพคะ”
สวีจือย่วนสีหน้าขรึมในทันที หานปิงจึงรีบปิดปาก
ด้านนอกวัง ท้องฟ้ามืดลงแล้ว
ซูฉ่ายเวยเดินตามฝีเท้าเย่จิ่งอวี้ และถามขึ้นด้วยความกล้า “ฝ่าบาท พระองค์อยากมาพักผ่อนที่หอฉงฮวาหน่อยไหมเพคะ?”
เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเรียบ “ข้ายังมีสาส์นกราบทูลที่ต้องอ่านอีกมาก เอาไว้วันหลังจะดีกว่า”
จู่ๆ ใจของซูฉ่ายเวยก็ตกลงกับพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
พูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้ “กระหม่อมรับคำสั่ง กระหม่อมทูลลาฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เย่จิ่งอวี้ได้เดินไปยังตำหนักจินหวูแล้ว...
อินชิงเสวียนยังคงนอนอยู่บนเปล ไกวไปมาอย่างสบายใจอละได้กล่อมตัวเองหลับไปแล้ว
เด็กน้อยถูกยายหลี่อุ้มไปกินนมแล้ว เหลือเพียงอวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อที่เฝ้าอินชิงเสวียนอยู่
“นี่ ปลุกพระสนมดีหรือไม่ ดึกขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวจะตากลมเย็นเอาได้”
อวิ๋นฉ่ายเอาแขนกระแทกเสี่ยวอานจื่ออย่างอดไม่ได้
เสี่ยวอานจื่อพูดว่า “เจ้าไปปลุกสิ ข้าไม่ไป”
อวิ๋นฉ่ายจ้องเขาและพูดว่า “เจ้ากลัวอะไร?”
เสี่ยวอานจื่อยืดคอตรงและพูดว่า “ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย ข้าเพียงไม่อยากรบกวนเหนียงเหนียงก็เท่านั้น”
“ถุย เจ้ารีบไปเลย!”
อวิ๋นฉ่ายยื่นมือออกไปและหยิกแขนเขาหนึ่งที เสี่ยวอานจื่อแทบร้องออกมา กลับเห็นฝ่าบาทเดินเข้ามาจากด้านนอก จึงรีบอุดปากในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...