สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 235

เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างเพียงคืบเดียว อินชิงเสวียนกระโดดโหยงในทันที

ครูดถอยหลังหลายก้าวและพูดว่า “กระหม่อมมีระดู ไม่อาจปรนนิบัติฝ่าบาทได้เพคะ เชิญฝ่าบาทหาคนอื่นเถอะเพคะ”

นางไม่เคยแม้แต่จะมีความรักกับใคร จู่ๆ จะให้ขึ้นหอลงเรือนร่วมเตียง ไม่มีทางทนไหวแน่

เย่จิ่งอวี้ดึงมือของนางไว้ ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้คิดจะทำสิ่งใด ได้พูดคุยกับเจ้าก็พอแล้ว”

อินชิงเสวียนชักมือกลับมา

“เช่นนั้นก็คุยที่นี่เลยเพคะ”

เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้ก็ถึงเวลาดึกมากแล้ว เจ้ายังคิดจะยืนคุยกับข้าตรงนี้หรือ พรุ่งนี้ข้ายังมีทำราชกิจเช้าอีกนะ”

พูดจบก็เดินมาข้างเตียง และต่างคนต่างถอดรองเท้า

อินชิงเสวียนรีบร้อนขึ้นมาทันที

“นี่ ท่านคงไม่คิดจะพักที่นี่จริงๆ นะเพคะ?”

ใครจะเชื่อคำพูดบ้าๆ ของผู้ชายได้

เย่จิ่งอวี้ถอดหยกคาดเอวออก และคลายเสื้อคลุมด้านนอกลงทันที กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ผลุบๆ โผล่ๆ และกระดูกไหปลาร้าอันประณีตงดงามผ่านเข้าม่านตาของอินชิงเสวียนทันที

อินชิงเสวียนรีบเบี่ยงเบนสายตาไปอีกด้าน แม้จะเคยเห็นร่างเปลือยของเย่จิ่งอวี้ แต่ความรู้สึกตอนนี้ที่ถือพิณปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง ทำให้นางหน้าแดงเสียยิ่งกว่าตอนที่เปลือยเปล่า

“ไม่เช่นนั้นเล่า?” เย่จิ่งอวี้ย้อนถาม

วันนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องนอนที่นี่

หากเขาไม่จู่โจมสักหน่อย เกรงว่าเจ้าหนูคนนี้คงไม่จู่โจมตลอดชีพ

อินชิงเสวียนเหงื่อผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

พูดออกมาราวกับถั่วคั่วที่แตกจากเมล็ด “เตียงของข้าเล็กมาก นอนเพียงคนเดียวยังลำบาก อีกทั้งข้านอนคนเดียวก็ไม่มั่นคงมากนัก หากว่าทับฝ่าบาทเข้า หัวข้าคงกุดเสียกระมัง”

เย่จิ่งอวี้โยเสื้อคลุมไปที่อินชิงเสวียนอย่างเป็นธรรมชาติ

“หัวของเจ้าจะอยู่บนคอของเจ้าอย่างสวยงาม และข้าก็ไม่กลัวจะถูกเจ้าทับ ดับไฟเสีย”

อินชิงเสวียนแอบเหลือบมองเขา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ไม่ได้ถอดเสื้อคลุมตัวกลางออก ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย

ดูท่าทางวันนี้เขาไม่ไปแน่ๆ

อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงฝ่าบาท ไม่ควรโวยวายจนตึงเครียดเกินไป

ลังเลครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ข้ามีระดูจริงๆ ท่านจะบังคับข้าไม่ได้นะเพคะ”

“ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ?”

ความอดทนตลอดชีวิตของเย่จิ่งอวี้ ถูกใช้กับอินชิงเสวียนทั้งหมด

อินชิงเสวียนก็ไม่มีสิ่งต้องพูดอีก ทำได้เพียงเป่าลมดับแสงเทียน

เมื่อปรับตัวในความมืดได้แล้ว จึงนำเสื้อคลุมชั้นนอกของเย่จิ่งอวี้พาดไว้บนเก้าอี้ จากนั้นก็คลานขึ้นเตียอย่างระมัดระวัง และนอนลงอีกด้าน

กลางคืนที่เงียบสงัด สามารถได้ยินเสียงลมหายใจของเย่จิ่งอวี้อย่างชัดเจน

อินชิงเสวียนกลั้นหายใจทันที และพยายามไม่หายใจออก

ถึงแม้ว่าเสียงลมหายใจของทั้งสองจะพัวพันอยู่ด้วยกัน ก็เป็นความคลุมเครือที่อันตรายประเภทหนึ่ง

ตอนนี้นางทั้งอึดอัดใจและตื่นเต้น นอกจากเสี่ยวหนานเฟิง นางยังไม่เคยนอนร่วมเตียงกับผู้ชายคนไหนเลย

“เจ้าอยากให้ข้าเรียกหมอหลวงให้หรือไม่?”

เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากข้างกาย ซึ่งแฝงไปด้วยความเยาะเย้ย

อินชิงเสวียนจึงโป๊ะแตกทันใด และลากเสียงหายใจยาว

“ขอบพระทัยในความหวังดีของฝ่าบาทเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ขำออกมาเบาๆ

“หากว่านอนไม่หลับ ก็พูดคุยกับข้าเถอะ”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงร้านของหลิวเหล่าไท่ไท่

เดิมทีวันนี้คิดว่าตัวเองจะได้ติดตามอ๋องจิ้งไปยังเมืองซุ่ยหาน และฝากฝังหลิวไท่ไท่ราวกับเป็นคำพูดทิ้งท้าย แต่ใครจะคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ ตอนนี้แถต่อไปไม่ได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิวเหล่าไท่ไท่

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาท... จะอนุญาตให้ข้าออกไปดูนอกวังไหมเพคะ?”

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาถาม “เจ้ายังมีห่วงอะไรที่นอกวังอีกหรือ?”

“ก็ถือว่ามีนิดหน่อยเพคะ”

นางเล่าเรื่องที่ออกนอกวังไปทำธุระเรื่องเสี่ยวอานจื่อ และรู้จักกับหลิวเหล่าไท่ไท่ตอนที่ซื้อบ้านให้เขาฟัง

“นางเป็นหญิงชราที่ดูแลร้านเพียงลำพัง ข้าไม่ค่อยวางใจสักเท่าใด หากเป็นไปได้ก็อยากออกไปเยี่ยมบ้างเพคะ”

เวลาได้ล่วงเลยไปนานมากแล้ว คาดว่าข้าวและเส้นหมี่ได้ขายหมดแล้ว ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระก็ต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เมล็ดข้าวในมิติของนางมีไม่มากแล้ว แทนที่จะทิ้งมันไว้ที่นั่น แลกเปลี่ยนเป็นเงินจะมีประโยชน์เสียกว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์