อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย
เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นเคยไปตามหาตัวเองที่หอสวดมนต์ด้วยงั้นหรือ?
หรือว่าคนสวมหน้ากากที่นางพบในมิติวันนั้น ก็คือพวกเขาสองคน?
เมื่อก่อนเคยบ่นว่าเย่จิ่งอวี้ไม่สนใจนาง รู้สึกผิดต่อเขาเสียแล้ว
เย่จั้นพูดต่อว่า “จิ่งอวี้นิสัยเย็นชา ไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร โดยเฉพาะผู้หญิง เขาตีต่อเจ้าเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก”
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากของตัวเอง และกล่าวคำนับ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
เย่จั้นพยักหน้าและพูดอีกว่า “บางครั้งการได้รับความโปรดปรานก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป การทะเลาะกันในวังหลังก็ไม่น้อยไปกว่าสมัยราชวงศ์ก่อน ก่อนที่ท่านพ่อของเจ้าจะกลับเมืองหลวง เจ้าต้องถ่อมตัวให้มาก และอย่าให้ใครมาจับผิดเอาได้ หากใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า คงทำให้เกิดเรื่องใหญ่ในราชวงศ์ก่อนอย่างแน่นอน”
เย่จั้นน้ำเสียงราบเรียบ แต่ด้านในแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา
คารวะและพูดขึ้น “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงแนะนำ ข้าจะอยู่ในวังหลังอย่างระมัดระวัง เพื่อรอท่านพ่อกลับมา”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”
เย่จั้นอ้าปากราวกับจะพูดบางสิ่ง สุดท้ายก็เงียบปากไป
เขายกแก้วเหล้าขึ้นและกระดกจนหมด ยืนขึ้นและพูดว่า “เจ้าออกมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว เพื่อไม่ให้จิ่งอวี้เป็นห่วง เจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้ารู้ความต้องการของเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าอยากบอก ข้าจะช่วยพูดกับอินจ้งให้”
อินชิงเสวียนรีบหยิบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่เตรียมไว้ออกมาจากอ้อมอก
“ท่านอ๋องได้โปรดช่วยเป็นธุระด้วย ช่วยนำเงินเหล่านี้มอบให้แก่ท่านพ่อของข้า ได้ยินว่าเมืองซุ่ยหานอยู่ทางภาคเหนือ มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ให้พวกเขาสวมเสื้อผ้าให้มากยิ่งขึ้น ในเมื่อฝ่าบาทได้บอกแล้วว่าจะสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เชื่อว่าอีกไม่นาน ข้าและพวกเขาจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวงอีกครั้ง”
เย่จั้นยื่นมือไปรับตั๋วเงินไว้ และพูดด้วยความยินดี “ในเมื่อเป็นความตั้งใจของเจ้า ข้าก็จะเป็นธุระให้”
อินชิงเสวียนโค้งคำนับ พูดขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋อง หากมีวันใดวันหนึ่งที่ท่านอ๋องต้องการใช้ประโยชน์จากข้า อินชิงเสวียนจะบุกน้ำลุยไฟ และตอบแทนอย่างสุดความสามารถ”
เย่จั้นยิ้มจางๆ และพยุงนางขึ้นมา
“หากข้าต้องการเจ้า ข้าไม่เกรงใจแน่นอน เหล้าจอกนี้ข้าขอล่ะ”
เย่จั้นพูดจบก็ก้าวเท้าเดินลงไป อินชิงเสวียนเดินตามมาถึงนอกประตู เย่จั้นก็ได้พาคนและม้าออกไปแล้ว
เมื่อมองดูเงาสีขาวราวกับหิมะ อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีต่อเขา
เย่จั้นเป็นคนที่ดีมากจริงๆ มีเขาอยู่ที่เมืองซุ่ยหาน ท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมคงไม่มีอันตรายอะไร
ตอนนี้หวังเพียงให้อินจ้งกลับเมืองหลวงโดยเร็ว แต่นางกลับไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนออกมา ฉินเทียนจึงรีบจูงม้าเข้ามา
“พวกเราจะกลับแล้วหรือขอรับ?”
“กลับกับเถอะ”
เงินก็ให้ไปหมดแล้ว สิ่งที่อยากพูดก็บอกไปแล้ว อารมณ์ของอินชิงเสวียนก็ดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อกลับมาถึงวังก็ถึงเวลาบ่ายคล้อย เมื่อเดินเข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของเสี่ยวหนานเฟิง
อินชิงเสวียนเข็นรถเข็นเด็กเข้ามาในลานบ้าน จึงได้เห็นว่าเย่จิ่งอวี้กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเข็นรถคันเล็กๆ จึงเลิกคิ้วถาม “นี่คือสิ่งใดกัน?”
อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่เรียกว่ารถเข็นเด็ก ไว้ให้จ้าวเอ๋อร์นั่ง วันนี้ฝ่าบาทไม่ไปห้องหนังสือหรือเพคะ?”
“ไปมาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร ข้าจึงมาหาจ้าวเอ๋อร์”
เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเดินเข้ามา และก้มหน้ามอง จากนั้นก็นำเด็กตัวอ้วนท้วนวางลงในรถเข็น
ตอนนี้เขาไม่ได้ถามอะไรมากมาย เมื่อได้เห็นของแปลกประหลาดมากมาย จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกอีกแล้ว
สิ่งของเหล่านี้ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่อยากสืบสาวเอาความมากนัก
ขอเพียงอินชิงเสวียนไม่กบฏต่อต้าโจว ไม่หักหลังต่อความรู้สึกของเขา เรื่องอื่นๆ เขาต่างรับได้ทั้งนั้น!
เสี่ยวหนานเฟิงมองไปยังรถเข็นเด็กด้วยความประหลาดใจในทันที ลูบตรงนั้นคลำตรงนี้ ดีใจเป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...