ร่างเล็กๆ กำลังเป่าขลุ่ยดินเผายืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวา
แม้ว่าเขาจะหันหลังให้ แต่อินชิงเสวียนก็ยังจำได้ว่าเขาคือเย่จิ่งหลาน ฝูอี้อ๋องที่นางพบในวันนั้น
ขันทีน้อยในตำหนักเห็นอินชิงเสวียนแล้ว จึงกระซิบบอกเย่จิ่งหลาน
เสียงขลุ่ยหยุดทันใด แล้วเย่จิ่งหลานก็หันกลับมา
พูดกับอินชิงเสวียนด้วยความเคารพ “ที่แท้ก็เป็นเสด็จพี่สะใภ้นี่เอง ข้าขอแสดงความสุภาพ เชิญเสด็จพี่สะใภ้เข้ามานั่งด้านในเถิด”
เย่จิ่งหลานประกบมือโค้งคำนับ แม้ใบหน้าจะดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่คำพูดคำจากลับฟังดูเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียน ที่ตรงไปตรงมาและนอบน้อมมาก
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ดีกว่า ได้ยินมาว่าอันไท่ผินชอบความเงียบสงบมาโดยตลอด ข้าไม่รบกวนดีกว่า เพียงแค่คิดว่าเครื่องดนตรีที่ท่านอ๋องเล่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเสียงก็ไพเราะมาก จึงเดินมาดูหน่อย”
เย่จิ่งหลานเดินไปที่ประตูแล้ว ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “นี่เรียกว่าขลุ่ยดินเผา ข้าซื้อมาจากนอกวังในราคาที่สูงมาก”
ทำไมคำพูดนี้ฟังดูเหมือนคำโกหกที่นางเคยพูดเลยล่ะ
อินชิงเสวียนหยิบขึ้นมาดูโดยที่แกล้งทำเหมือนไม่เคยพบเห็นมาก่อน
นี่คือขลุ่ยดินเผาลายคลื่นทะเลสีฟ้าอ่อน ที่ถูกผลิตขึ้นโดยใช้เทคนิคคล้ายการแตกของน้ำแข็งให้ดูสวยงาม มีพู่สีแดงผูกอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ทำให้อินชิงเสวียนตกใจมากที่สุดก็คือ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ TNG สามตัวที่ถูกสลักไว้บนขลุ่ยดินเผา
ยี่ห้อนี้ถูกผลิตขึ้นจากไต้หวัน การปรากฏในยุคโบราณแบบนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ!
ตอนนั้นนางอยากซื้อขลุ่ยดินเผายี่ห้อนี้มาก แต่ราคาค่อนข้างแพง จึงซื้อเครื่องผลิตในประเทศมาใช้แทน พอได้เห็นสินค้าทันสมัยที่นี่ รูม่านตาก็หดลงอย่างอดไม่ได้
เมื่อเห็นนางจ้องเขม็งที่ขลุ่ยดินเผา เย่จิ่งหลานจึงไพล่มือเล็กๆ ไว้ด้านหลัง แล้วถามขึ้นว่า “เสด็จพี่สะใภ้ชอบขลุ่ยนี้หรือ แต่เสียดายที่ข้าเคยเปล่าเล่นแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะมอบให้เสด็จพี่สะใภ้ไปแล้ว”
อินชิงเสวียนระงับความกลัวในใจ แล้วผลิยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“ไม่ ไม่ ข้าแค่ดูเฉยๆ ท่านอ๋องเล่นได้ไพเราะมาก เก็บไว้เองดีกว่า”
เย่จิ่งหลานพูดช้าๆ “เครื่องดนตรีนี้เล่นง่ายมาก เรียนได้ง่ายกว่าขลุ่ย ถ้าเสด็จพี่สะใภ้ชอบ ข้าสามารถสอนให้ได้”
อินชิงเสวียนเกือบจะตกลง เพราะนางชอบขลุ่ยดินเผามากจริงๆ แม้ว่านางจะเป่าเป็นเพลงได้ แต่เมื่อเทียบกับเย่จิ่งหลานแล้ว นางยังด้อยกว่ามาก
เพลงที่นางเล่นไม่ต้องใช้ทักษะมากนัก ฟังดูแข็งๆ ทื่อ ไม่ไพเราะเพราะพริ้งเท่าที่เย่จิ่งหลานเป่า
“ข้าโง่มาก เรียนรู้ได้ช้า ไม่ขอเสียหน้าดีกว่า”
หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ ก็ถามเขาว่า “ไม่ทราบว่าเพลงที่ท่านอ๋องเล่น มีชื่อเพลงว่าอะไร”
นางรู้สึกคุ้นหูทำนองของเพลงนี้มาก
เย่จิ่งหลานกระตุกริมฝีปากขึ้น แล้วพูดว่า “ชื่อเพลงเทือกเขาสายหมอกอันหนาวเหน็บ”
แล้วอินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง นี่เป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่องเดอะฮอบบิทไม่ใช่หรือ มิน่าล่ะถึงฟังดูคุ้นหูจัง
“ท่าน...ท่านอ๋องไปเรียนทำนองเพลงนี้มาจากไหน คือว่า...ข้ารู้สึกว่าเพราะดี”
เนื่องความประหลาดใจอันมากล้น จึงทำให้อินชิงเสวียนพูดติดๆ ขัดๆ
“ข้าก็ซื้อมาจากคนแปลกหน้าเหมือนกัน”
หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปยังอินชิงเสวียนแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าเสด็จพี่สะใภ้ค่อนข้างมีความรู้ในด้านดนตรี หากมีเวลา จิ่งหลานก็อยากจะขอคำแนะนำเช่นกัน”
อินชิงเสวียนฝืนยิ้ม “ท่านอ๋องยกย่องเกินไปแล้ว ข้าเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากท่านอ๋องต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านดนตรีกับใครสักคนแล้วล่ะก็ ข้าก็พอจะแนะนำคนผู้หนึ่งให้ท่านอ๋องได้”
“ใครรึ” เย่จิ่งหลานดูสนใจมาก
“ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากฝ่าบาทแล้วก็มีนายหญิงสวีจากหอสุ่ยอวิ้น ทักษะการบรรเลงฉินของนางนับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว”
เย่จิ่งหลานส่ายศีรษะ
“ข้าเคยฟังเพลงที่นางบรรเลงแล้ว มันเศร้าเกินไป นี่เป็นการพิสูจน์ว่านางเข้มงวดกับบางสิ่งมากเกินไป จนพัฒนาเป็นความคงเส้นคงวา ซึ่งความคิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับนาง”
อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เรื่องนี้ก็ฟังออกรึ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...