จู่ๆ อินชิงเสวียนก็ขนลุกไปทั่วทั้งร่าง
พอเห็นอินสิงอวิ๋นกำลังจะจากไป นางก็ตะโกนทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ขณะมองตามแผ่นหลังของเขาที่กำลังจากไป อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ปริมาณข้อมูลมีมากเกินไปจริงๆ
แต่เจ้าตัวดีนี่กลับจากไปในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของนางนั้นถูกต้อง คนผู้นี้แปลงโฉมมาจริงๆ
ไม่คิดว่าคนในยุคโบราณจะมีวิชาแปลงโฉมที่เหมือนจริงขนาดนี้ ลักษณะท่าทาง และรูปร่างของเขาแทบจะเหมือนกับพี่ใหญ่ของเจ้าของร่างเดิมไม่ผิดเพี้ยนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากราชวงศ์เจียงวูด้วย
ด้วยเบาะแสเหล่านี้ การแก้ไขสถานะตระกูลอินให้ถูกต้องก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
แต่เหตุใดอินสิงอวิ๋นตัวจริงถึงคิดก่อกบฏ และกลายไปเป็นเขยของเจียงวู
ให้ตายเถอะ เรื่องชักจะยุ่งยากไปกันใหญ่แล้ว!
อินชิงเสวียนคิดจนหัวแทบระเบิด
นางขยับโซ่ คิดจะใช้พลังแห่งมิติหลบหนีไป แต่เมื่อคิดได้ว่าทางกลับมีทางเดียวเท่านั้น นางก็ยอมแพ้
คนผู้นี้มีลูกธนูอาบพิษของเจียงวูมากมาย ถ้าเกิดทำให้เขาพาลโกรธ แล้วฆ่าคนปิดปาก ตัวเองมิต้องตายทันทีหรอกหรือ จะต้องใช้คะแนนในช่วงเวลาคับขันที่สุก เขาบอกว่าจะพานางออกจากเมืองไม่ใช่หรือ รอให้ออกจากอุโมงค์บ้านี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยเอาชนะศัตรูในคราวเดียว และหนีกลับวัง
นางพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่คิดอะไรมากอีก
ในเวลานี้ เรือนจุ้ยหงได้ถูกล้อมไว้ด้วยทหารแล้ว
สวีจือย่วนวิ่งเข้าไปหาสองพี่น้องตระกูลอินในห้อง แต่กลับพบว่าห้องว่างเปล่า
ขณะที่นางกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เจ้าหน้าที่และทหารก็เข้ามาจับตัวนางและสตรีทั้งหมดในเรือนจุ้ยหงออกไปข้างนอก
เมื่อมองไปรอบๆ ถนนทั้งสายเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่และทหาร ซึ่งชุดเกราะอ่อนสีเงินปะปนไปกับชุดเกราะเปลวเพลิงสีชาดที่เป็นประกายแวววาว ช่างสะท้อนสายตายิ่งนัก
ในระยะไกล มีม้าศึกสองตัวยืนตระหง่านอยู่
ตัวหนึ่งดำสนิทราวกับน้ำหมึก ส่วนอีกตัวก็ขาวราวกับหิมะ
ผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็คมคายไม่ธรรมดา ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ที่ศีรษะมีปิ่นหยกสีน้ำเงินปักบนมวยผม ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย เรียวตาหงส์เย็นชาปานอสุนีบาต มองมายังเรือนจุ้ยหงด้วยสายตาย่างเย็นชา แม้จะนั่งบนหลังม้า แต่กลับก็มีแรงกดดันอันมหาศาลที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
ส่วนผู้ที่อยู่ด้านหลังสวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ เหมือนจะกลืนเป็นสีเดียวกับม้าศึก ดวงตาของเขานิ่งสงบดั่งสายธารา แต่กลับทำให้ผู้คนยอมสยบราบกับถูกกดดันจากยอดเขาไท่ซาน
สองคนนี้คือฮ่ององค์ปัจจุบันเย่จิ่งอวี้ และจิ้งอ๋องเย่จั้น
ทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาแล้วพูดด้วยความเคารพ “กราบทูลฝ่าบาท ทุกคนในเรือนจุ้ยหงอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้เดินม้าไปยังหน้าประตูเรือนจุ้ยหง แล้วเรียวตาหงส์อันเย็นชาก็กวาดสายตามองทุกคน ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นชาอยู่มิวาย
สวีจือย่วนถูกเบียดอยู่กลางฝูงชน ตัวสั่นสะท้าน จิตใจยิ่งรู้สึกสับสน ประเดี๋ยวก็คิดถึงพ่อแม่ ประเดี๋ยวก็นึกถึงสิ่งที่อินสิงอวิ๋นพูดกับอินชิงเสวียน และยังมีสายตาเหยียดหยามของฟางรั่วนั่นด้วย
นางรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ จนหายใจติดขัด
เมื่อนึกถึงพ่อแม่ที่แก่ชรา ก็อดไม่ได้ที่กัดริมฝีปากแรงๆ หลบจากเจ้าหน้าที่และล้มลงกับพื้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพคะ!”
“เป็นเจ้า!”
เย่จิ่งอวี้ตกใจมาก พลิกตัวกระโดดลงจากหลังม้า
เขาถามอย่างเร่งด่วน “เสวียนเอ๋อร์ล่ะ นางอยู่ที่ไหน”
หากปกติเย่จิ่งอวี้ถามเช่นนี้ สวีจือย่วนก็จะคิดว่าถูกต้องเหมาะสมแล้ว แต่วันนี้คำว่า ‘เสวียนเอ๋อร์’ กลับขัดหูโดยไม่มีเหตุผล
ทำไมทุกคนถึงชอบนางขนาดนี้ นางสู้นางไม่ได้ตรงไหน
เมื่อนึกถึงคำพูดของอินสิงอวิ๋น ก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกตัดด้วยดาบ
นางกุมหน้าอก คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ เมื่อวานตอนที่หม่อมฉันกับพระสนมกำลังคุยกันอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็ถูกคนชุดดำจู่โจม พอหม่อมฉันรู้ตัวก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...