ชายที่มีหนวดเครารีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดอย่างสั่นเทา “ข้าน้อยไม่เชื่อเรื่องนางมารร้ายอะไรนั่น คงเป็นฟางรั่วที่กลัวว่านายท่านจะพาแม่นางอินกลับไปที่เจียงวูด้วย จึงปล่อยตัวนางไป”
ฟางรั่วรู้สึกถึงความเค็มในปาก แล้วนางก็กระอักเลือดออกมาเต็ม
“เจ้าอย่าใส่ความข้านะ ข้าติดตามนายท่านมามากกว่าสิบปีแล้ว ข้าแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ตลอด”
อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา มองฟางรั่วด้วยแววตามืดมน ฟางรั่วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมของอาซือหลาน
“นายท่าน ฟางรั่วไม่เคยกล้ามีความคิดเช่นนี้เลย ฟางรั่วสามารถสาบานต่อสวรรค์ใช้ท่านพ่อท่านแม่เป็นเดิมพันได้เลย ว่าไม่มีทางปล่อยอินชิงเสวียนไปเด็ดขาด”
อาซือหลานถามเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าคนหายไปไหน”
ฟางรั่วส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ฟางรั่วไม่ทราบ นางปรากฏตัวที่โถงทางเดินแวบหนึ่ง แล้วก็หายตัวไปเลย”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบงั้นรึ”
อาซือหลานยกเท้าขึ้นเตะฟางรั่วไปอีกด้าน แล้วพูดกับชายมีหนวดเครา “ทันทีที่มีการยกเลิกคำสั่งห้ามออกจากเมืองหลวง ให้ส่งนางกลับไปที่เจียงวูทันที”
ฟางรั่วอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำอีก “นายท่านถอนคำสั่งด้วย ฟางรั่วแค่อยากอยู่เคียงข้างท่าน”
อาซือหลานเลิกสนใจนาง แล้วพูดกับโยวหลาน “ใช้ตัวตนของเจ้าล่ออินชิงเสวียนออกมา ข้าต้องได้ตัวนาง!”
“เจ้าค่ะ”
โยวหลานเหลือบมองฟางรั่วอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วก็รีบจากไปทันที
อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา และรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ ข่าวที่ว่าฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว
กวนเมิ่งถิงยืนอยู่ในจวน มองไปยังรูปพยัคฆ์ลงเมฆาที่แขวนอยู่บนผนัง ประกายในแววตาไหววูบ
ผ่านไปสักพักเขาก็หันกลับมาถามว่า “อันผิงอ๋องกลับตำหนักแล้วรึ”
คนรับใช้พูดด้วยความเคารพ “ยังขอรับ เขาน่าจะยังอยู่ในวัง”
กวนเมิ่งถิงขมวดคิ้ว
“ไปสืบมาใหม่ ถ้าอันผิงอ๋องกลับจวนแล้ว ให้มารายงานข้าทันที”
ทางด้านเย่จิ่งเย่าที่ยังคงอยู่ในวังหลวง
ซึ่งอยู่ที่นี่จะสามารถสืบข่าวของเย่จิ่งอวี้ได้สะดวกที่สุด ยามนี้เย่จิ่งอวี้สลบไสลไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เช้าเขาไม่ฟื้น อาจจะหมายความว่าสวรรคตแล้วจริงๆ
เมื่อคิดว่าตัวเองจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ในไม่ช้า เย่จิ่งเย่าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
เมื่อเห็นเขาเดินกลับกลับมาอยู่ในตำหนัก ไทเฮาก็ทนรำคาญไม่ได้
“เจ้าเด็กเปรตที่อยู่ในตำหนักจินหวูก็ยังไม่ได้จัดการ ทำไมเจ้าถึงตื่นเต้นขนาดนี้”
เมื่อครู่สวีจือย่วนได้มาแจ้งไทเฮาเรื่องที่ไป๋เสวี่ยเข้าไปอยู่ในตำหนักจินหวู ไทเฮากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด กำลังคิดว่าจะกำจัดเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนั้นได้อย่างไร
เย่จิ่งเย่าที่ซ่อนตัวอยู่ฉากกั้นลม จึงได้ยินคำพูดของสวีจือย่วนอยู่แล้ว
เขาเดินเข้าไปหาไทเฮา บีบไหล่ของนางพลางพูดว่า “ก็แค่สัตว์ที่พูดไม่ได้ เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องเป็นกังวลด้วย แค่พวกเราส่งนักธนูออกไปยิงมันก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ยากนักที่เย่จิ่งเย่าจะมีความกตัญญูเช่นนี้ ไทเฮาจึงรู้สึกสบายใจเล็กน้อย
นางวางถ้วยชาในมือลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตำหนักจินหวูมีทหารรักษาพระองค์คอยอารักขาอยู่ เว้นแต่เย่จิ่งอวี้จะบัญชาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ถอนกำลังออก แม้ว่าเราจะส่งนักธนูออกไป แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นหูตาของทหารรักษาพระองค์ได้”
เย่จิ่งเย่าขิ๊ปากอย่างจนปัญญา แล้วถามว่า “แล้วไม่มีทางอื่นอีกหรือ”
ไทเฮาก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา
“เจ้าหมาบ้านั่นกลัวคนแปลกหน้ามาก มันจะไม่กินของที่คนอื่นให้ เรื่องนี้จัดการได้ยากจริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...