แล้วอินชิงเสวียนก็กลับมาที่ตำหนักเฉิงเทียน
“เจ้าพูดอะไรกับนาง”
เย่จิ่งอวี้ถามด้วยความสนใจขณะพิงหมอนนุ่มๆ
อินชิงเสวียนกรุตุกมุมปากขึ้นยิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์
“ฝ่าบาทอยากลองเดาดูหรือไม่”
เมื่อเห็นท่าทางในตอนนี้ของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกถึงความรู้สึกตอนที่ได้พบบนางเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้น นางฉลาดปลิ้นปล้อนมาก ราวกับจิ้งจอกน้อยเจ้าแผนการ นางที่บังเอิญวิ่งเข้าไปชนหัวใจของเขา
เมื่อนึกถึงอดีต เย่จิ่งอวี้ก็หัวเราะเบาๆ
“จะให้ข้าเดาอย่างไร”
“ฝ่าบาทจะพูดอะไรก็ได้ ถึงทายผิดก็ไม่เป็นไร”
ตอนนี้ความเข้าใจผิดทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยแล้ว อินชิงเสวียนจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นิสัยที่แท้จริงของนางก็ถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เย่จิ่งอวี้กลับชอบนางในลักษณะนี้ ในวังมีสตรีมีอยู่ในกฎเกณฑ์เหมือนเกินมากเกินไป และมีแต่คำเยินยอแบบเดียวกัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบื่อ
เมื่อมองดูตาที่โค้งคู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หรือเจ้าไปบอกนาง ว่าข้าเป็นของเจ้า หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามเข้าใกล้กระนั้นหรือ”
อินชิงเสวียนหัวเราะคิกคัก
“เรื่องนั้นหม่อมฉันคงไม่กล้า หม่อมฉันแค่อยากขอบคุณนางที่ดูแลฝ่าบาทเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้”
“เจ้าไม่อิจฉารึ” เย่จิ่งอวี้มองนางแล้วถามขึ้น
“แน่นอนว่าอิจฉาเพคะ แต่ท่านเป็นฮ่องเต้ หม่อมฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”
อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ
นางแน่ใจแล้วว่าตัวเองก็ชอบเย่จิ่งอวี้เหมือนกัน แต่นางต้องคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าความรักเช่นนี้ไม่สามารถจริงจังเกินไปได้
ในฐานะฮ่องเต้ เย่จิ่งอวี้ถูกลิขิตให้ไม่สามารถยึดมั่นในรักเดียวได้ อินชิงเสวียนไม่อยากเล่นเกมแย่งผู้ชายประเภทนี้ ซึ่งทั้งน่าเบื่อและเปลืองสมอง
ที่นางกลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อล้างมลทินให้ตัวเอง ประการที่สองก็เพื่อช่วยให้เสี่ยวหนานเฟิงได้เป็นรัชทายาท
เมื่อนางประสบความสำเร็จเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติในตัดสินอนาคตของตัวเองได้
หลังจากเข้าวังมานานกว่าสี่เดือน ความคิดของอินชิงเสวียนได้เปลี่ยนไปหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ แต่กลับถูกผลักให้เดินไปข้างหน้า...
“เหตุใดจึงถอนหายใจ”
เย่จิ่งอวี้จับมือของอินชิงเสวียน ให้นางมานั่งข้างตัวเอง
“ตราบใดที่เจ้าต้องการ ข้าก็สัญญากับเจ้าได้”
เมื่อมองดูเรียวตาหงส์คู่นั้น อินชิงเสวียนก็เคลิบเคลิ้มไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทคือฝ่าบาทของบ้านเมือง ยังเป็นฝ่าบาทของสนมนางในทั้งหมดในวังหลัง หม่อมฉันจะครอบครองเพียงผู้เดียวได้อย่างไร”
“เจ้าพูดจากใจจริงหรือไม่”
เย่จิ่งอวี้มองนางด้วยสายตาเป็นเชิงสัพยอก
เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มนั้นแข็งทื่อเล็กน้อย และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากใจจริง
อยากลองถามว่ามีสตรีคนใดบ้างที่ยินดีที่จะแบ่งปันคนรักกับผู้อื่น
หากคิดในทางกลับกัน ถ้ามีบุรุษรายล้อมอินชิงเสวียนมากมาย เย่จิ่งอวี้จะต้องเป็นบ้าแน่นอน
อินชิงเสวียนยักไหล่ “ฝ่าบาทจะถือว่าเป็นคำที่มาจากใจจริงก็ได้เพคะ”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของนาง เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาลูบสันจมูกของอินชิงเสวียน
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง แต่บางสิ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ทุกราชวงศ์ล้วนต้องเป็นเช่นนี้ แม้ว่าข้าอยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน”
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างว่าง่าย “เมื่อมีถ้อยคำนี้จากฝ่าบาท หม่อมฉันก็พอใจแล้ว”
แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะดูถูกตัวเองอยู่ในใจ แม้ว่านางจะยอมรับว่าตัวเองชอบเย่จิ่งอวี้ แต่ความชอบนี้คงจะปะปนกับผลประโยชน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่คือความโศกเศร้าในวัง แม้แต่คนข้างๆ ก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างได้อย่างสุดหัวใจ
ถ้านางและเย่จิ่งอวี้เกิดมาในครอบครัวธรรมดา พวกเขาจะต้องมีความให้แก่รักอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...