เมื่อได้ยินว่าสวีจือย่วนกำลังจะมา อินชิงเสวียนก็อยากพบนางเช่นกัน
นอกจากนี้นางควรบอกเรื่องของอาซือหลานกับสวีจือย่วน เพื่อที่นางจะได้ไม่หลงรักจนหัวปักหัวปำ จนโงหัวไม่ขึ้น
แต่เย่จิ่งอวี้กลับไม่อยากถูกรบกวนจากความอบอุ่นที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้
เขาพูดเสียงเรียบ “ไม่พบ”
สวีจือย่วนได้เดินมาถึงประตูแล้ว เมื่อนางได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้ คิ้วของนางก็ขมวดเล็กน้อย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านพบเถอะ หม่อมฉันก็อยากพบนายหญิงสวีเช่นกัน”
สีหน้าของสวีจือย่วนเปลี่ยนไปทันที
เป็นเสียงของอินชิงเสวียน นางกลับมาทำไม
แล้วเสียงของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากภายในห้องโถง
“ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์ต้องการพบนาง ก็ให้นางเข้ามาเถอะ”
หลี่เต๋อฝูย่อมได้ยินอยู่แล้ว ซึ่งเขาเองก็จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอินชิงเสวียน
โดยปกติแล้วเขาซึ่งเป็นขันทีไม่กล้าถามถึงเรื่องของฝ่าบาท พูดง่ายๆ ก็คือถ้าฝ่าบาทมีความสุข เขาก็สบายใจ
เขาก้าวถอยหลัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญนายหญิงสวีเถิด!”
“ขอบคุณหลี่กงกง”
สวีจือย่วนเปิดประตูอย่างช้าๆ
เมื่อเข้ามาในห้อง ก็เห็นอินชิงเสวียนในชุดบุรุษ
นางเดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ
“พระสนม ท่านกลับวังมาแล้ว”
อินชิงเสวียนส่งยิ้มให้นาง
“อืม เจ้าสบายดีหรือไม่”
“ต้องขอบคุณพระสนมและฝ่าบาท หม่อมฉันเรียบร้อยดีทุกประการ”
นางยอบกายคำนับอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนก็เอื้อมมือไปช่วยประคองนางขึ้น เมื่อเห็นว่าสวีจือย่วนมีสีหน้าไม่เลว นางก็รู้สึกโล่งใจ
หานปิงได้วางชามอาหารที่นำมาไว้บนโต๊ะด้านข้างแล้ว
“นี่คือโจ๊กเนื้อที่นายหญิงของเราใช้เวลาในการเคี่ยวนานถึงสองสามชั่วยามให้กับฝ่าบาทด้วยตัวเอง ฝ่าบาททรงเสวยในขณะที่ยังร้อนอยู่เถิดเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองสวีจือย่วน ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “มีน้ำใจแล้ว ช่วงหัวค่ำข้าได้กินไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่หิว”
สวีจือย่วนเดินไปที่เตียง ดวงตาเต็มไปด้วยความอ้างว้างเหลือคณา
“หม่อมฉันมาส่งช้าไปงั้นหรือเพคะ”
เมื่อคิดว่าสวีจือย่วนช่วยเขาไว้เมื่อหลายปีก่อน เย่จิ่งอวี้ก็ทนไม่ได้ที่จะทำให้นางเสียใจ เขาจึงพูดว่า “ยังไม่ช้าไปหรอก เอามาสิ ข้าจะกินอีก”
จู่ๆ สวีจือย่วนก็คลี่ยิ้มออกมา นางตักโจ๊กเนื้อขึ้นมา แล้วเป่าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะป้อนให้เย่จิ่งอวี้
เมื่อเห็นฉากนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้ แต่ก็ค่อนข้างสับสนเช่นกัน
สวีจือย่วนรักพี่ใหญ่ของนางจนแทบคลั่งไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ นางถึงอ่อนโยนต่อฝ่าบาทมากขนาดนี้
นางถอยหลังไปหลายก้าว ยกขอบเตียงให้สวีจือย่วนนั่งคนเดียว
เย่จิ่งอวี้ผลักชามโจ๊กออกไป แม้ว่าเสียงของเขาจะอ่อนโยน แต่ก็ยังมีความรู้สึกแปลกแยกอย่างไม่ปิดบัง
“ข้ากินไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่ก็ดึกแล้ว พวกเจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
สวีจือย่วนถอนหายใจเบาๆ ส่งชามให้หานปิง และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “พระสนมเหยาเฟยเพิ่งกลับวัง ร่างกายคงอ่อนแอมาก พระสนมต่างหากถึงเป็นคนที่ต้องการพักผ่อนจริงๆ คืนนี้ให้หม่อมฉันอยู่ดูแลฝ่าบาทนะเพคะ!”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองดูนาง ตัวเองอ่อนแองั้นหรือ
เป็นอย่างนั้นจริงหรือ
ทำไมคำพูดนี้ถึงฟังดูเหมือนพวกผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่ชอบทำตัวใสซื่อแต่ความจริงร้ายลึก ในฐานะคนที่ชอบอ่านนิยาย อินชิงเสวียนคุ้นเคยกับวาทศิลป์ประเภทนี้เป็นอย่างดี
เมื่อไม่กี่วันก่อนสวีจือย่วนยังไม่ได้เป็นเช่นนี้ ในเวลานั้นนางหลบเย่จิ่งอวี้ราวกับเห็นเขาเป็นสัตว์อันตราย ไม่ได้ทำตัวใกล้ชิดขนาดนี้
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองช่วงเวลา อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจว่าทำไมสวีจือย่วนถึงเปลี่ยนไป หรือว่านางรู้แล้วว่าอินสิงอวิ๋นคืออาซือหลาน ดังนั้นนางจึงเบนเป้าหมายไปยังฝ่าบาท
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ไม่จำเป็น ข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับพระสนมเหยาเฟย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...