สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 286

หลังดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นเหนือนภา ในชั่วพริบตาก็เป็นยามท้องฟ้ามืดมนแล้ว

ม้าหนุ่มสองตัวออกจากจวนอ๋อง มุ่งตรงไปยังวังหลวงทันที

อินชิงเสวียนยังคงสวมหน้ากาก ใส่ชุดของบุรุษ เย่จั้นสวมหมวกคลุมศีรษะ บังใบหน้าของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง

เมื่อถึงประตูทางเข้าวังหลวงทั้งสองก็ลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเทียน

เย่‍จิ่ง‍อวี้กำลังกินลีโวฟล็อกซาซินที่บดเป็นผงอยู่ พอเขาได้ยินว่าเย่จั้นมาถึงแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

“ให้เสด็จอาเข้ามา”

เย่จั้นที่สวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาจากประตู เมื่อเห็นท่าทางของเขา เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ตวัดเรียวตาหงส์ไปมอง

“ท่านอาสิบสามป่วยรึ เหตุใดถึงสวมใส่เสื้อผ้ามากมายเช่นนี้”

เย่จั้นก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าอยากให้ฝ่าบาทมองดูอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทอย่าตกใจเกินไปนักนะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ถามด้วยความสับสน “เรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ลึกลับเพียงนี้”

เย่จั้นค่อยๆ ถอดหมวกของเขาออก

เมื่อเห็นใบหน้าของเขาเต็มตา เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ตกตะลึง

“ใบหน้าของท่าน...”

“ไม่เป็นไร อีกครึ่งหน้าเป็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์ ฝ่าบาทรู้สึกว่าดูเหมือนใครบางคนหรือไม่”

ในตอนที่เย่จั้นถาม เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็จำใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งได้แล้ว สีเลือดบนใบหน้าพลันซีดเซียว ถามด้วยความตกใจทันที “เสด็จอาสิบสาม ท่านทำอะไรกับเสวียน‍เอ๋อร์”

เย่จั้นผลิยิ้มบางๆ พูดว่า “สิ่งนี้ถูกดึงออกมาจากใบหน้าของนักฆ่า แน่นอนว่าพระสนมเหยาเฟยไม่ได้รับบาดเจ็บ”

เขาดึงหน้ากากผิวหนังมนุษย์ออกมา แล้วส่งให้เย่‍จิ่ง‍อวี้

เย่‍จิ่ง‍อวี้จ้องมองอยู่นาน จู่ๆ น้ำเสียงก็เย็นชาทันที

“ข้ารู้ว่าเสด็จอารักและเอ็นดูข้าเสมอมา รู้ด้วยว่าข้ามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเสวียน‍เอ๋อร์ ดังนั้นจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อหลอกข้า แม้ว่าข้าจะไม่ลืมความรู้สึกที่มีต่อนาง แต่ข้าก็ไม่เชื่ออีกแล้ว เสด็จอาไม่จำเป็นต้องพยายามอีกแล้ว”

เย่จั้นแอบหัวเราะอยู่ในใจ เจ้าเด็กทึ่มนี่ รู้จักเป็นคนปากไม่ตรงกับใจเสียแล้ว

ถ้าเขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ทำไมถึงปิดบังความจริงที่ถูกลอบสังหารด้วยตัวปลอมกันล่ะ!

แต่กลับจงใจพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสั่งให้ทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดแดงค้นหาพระสนมเหยาเฟยอย่างเข้มงวด หากพบนาง จะประหารทันที จะช่วยฝ่าบาทระบายโทสะนี้ให้จงได้”

สีหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปลี่ยนไปทันที “เสด็จอาอย่าเพิ่งใจร้อน”

เย่จั้นถามด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง “เช่นนั้นฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมทำอย่างไร”

“คือ...”

หัวใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้สับสนทันที

เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

เขาอยากเห็นหน้าอินชิงเสวียน แต่ก็ไม่อย่ากเห็นหน้านาง ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ขัดแย้งกันมาก

ไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเผชิญกับใบหน้านี้อย่างไร

เมื่อเห็นความลังเลของเขา เย่จั้นจึงกล่าวเสริมว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่กระหม่อมพูด กระหม่อมจะไปถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้”

เขาหันหลังกำลังจะออกไป แต่ก็ถูกเย่‍จิ่ง‍อวี้เรียกให้หยุดทันที

“เสด็จอา!”

เย่จั้นหัวเราะเบาๆ แล้วหันหน้าไปทางประตู

“ยังไม่เข้ามาอีกรึ”

ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาจากด้านนอก มองเย่‍จิ่ง‍อวี้ด้วยลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนคู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

“อาการบาดเจ็บของฝ่าบาท ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

น้ำเสียงที่เป็นดั่งน้ำพุใสแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทของเย่‍จิ่ง‍อวี้ เขาตกใจเล็กน้อย จ้องมองไปที่คนผู้นั้น

“เสวียน‍เอ๋อร์!”

เย่จั้นมองดูพวกเขาทั้งสองอย่างมีความสุข ประกบมือคารวะแล้วพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทและพระสนมมีเรื่องต้องพูดคุยกัน เช่นนั้นกระหม่อมก็ต้องขอตัวก่อน”

หลังจากเสียงปิดประตูดังขึ้น ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบทันที

บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบาย อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วถามอีกครั้ง

“อาการบาดเจ็บของฝ่าบาทฟื้นตัวอย่างไรบ้างแล้ว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่ตอบ แต่พูดว่า “ถอดหน้ากากออก แล้วเอาหน้าของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”

แม้ว่าเย่จั้นจะกล่าวถึงการแปลงโฉม แต่เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้วยกลัวว่าเมื่อถอดหน้ากากออก ใบหน้าครึ่งหนึ่งของอินชิงเสวียนจะชุ่มไปด้วยเลือด

อินชิงเสวียนถอนหายใจ แล้วถอดหน้ากากออก

เมื่อเห็นใบหน้าชวนเคลิ้มฝันดวงนี้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ทำราวกับว่าได้พบสมบัติที่สูญหาย ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเปรมปรีดิ์ ความขัดแย้งและสับสนอลหม่านก่อนหน้านี้ ได้หายไปทั้งหมดราวกับไม่เคยมีอยู่

เย่‍จิ่ง‍อวี้มองไปยังอินชิงเสวียนอย่างไม่เข้าใจ

“คือว่า แผลใหญ่เกินไป ต้องเย็บแผลถึงจะห้ามเลือดได้”

อินชิงเสวียนลูบจมูก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ด้วยพระพลานามัยของฝ่าบาท ใช้เวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะฟื้นตัวขึ้นแล้ว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง คนที่เย็บแผลให้ข้า คือเจ้าหรือ”

อินชิงเสวียนอยากจะบอกว่าเป็นเย่จิ่งหลาน แต่นางไม่รู้ความคิดของเขา

บางทีเขาอาจจะไม่อยากทำตัวเด่น ถ้าขืนตัวเองพูดมากไป จะทำให้เขาไม่พอใจเอาได้

ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ก็ห้ามไปล่วงเกินหมอเด็ดขาด

นางจึงพยักหน้ารับอย่างไม่ตรงตามความเป็นจริง จากนั้นก็อธิบายว่า “แต่ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง รอยเย็บมีขนาดเล็กมาก น่าจะมองไม่ออกว่าเป็นรอยเข็ม”

“ข้าไม่สนกายสังขารนี้ ข้าสนใจแต่ความคิดของเจ้าเท่านั้น”

ดวงตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้เป็นประกายวาววับ อินชิงเสวียนถูกจ้องจนรู้สึกเขินหายใจติดขัด นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“คิดว่าท่านอ๋องคงมารายงานเรื่องอาซือหลานกับฝ่าบาทแล้ว เขาบอกว่าพี่ใหญ่ของหม่อมฉันยังอยู่ในเจียงวู คงจะถูกพวกเขาคุมขังอยู่เป็นแน่ หากจะโจมตีเจียงวู ขอให้ฝ่าบาทส่งคนไปช่วยเขากลับไปที่เมืองซุ่ยหานด้วย”

เมื่อได้ยินเรื่องจริงจัง สีหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แล้วกรอบหน้าที่เป็นสันอยู่แล้ว ก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดมากขึ้น

“ได้บอกแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าในโลกนี้จะมีคนที่เลียนแบบได้เหมือนจริงขนาดนี้ แม้แต่พ่อของเจ้ายังถูกหลอก ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงหนีกลับเมืองหลวง”

“รูปร่างก็คล้ายกัน จึงเลียนแบบได้เหมือนมากขึ้น คนที่ใส่หน้ากากผิวหนังมนุษย์ ก็มีรูปร่างเหมือนหม่อมฉันไม่มีผิดเพี้ยนเลย...”

ขณะที่อินชิงเสวียนพูดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่‍จิ่ง‍อวี้

“ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องขอปรระทานอภัย พระองค์ไม่ควรถูกทำร้ายเช่นนี้”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทางรักใคร

“เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ไม่ว่าข้าจะเจ็บแค่ไหน ก็คุ้มค่า”

เมื่อฟังคำพูดที่เกือบจะเป็นคำสารภาพเหล่านี้ หัวใจของอินชิงเสวียนก็เต้นแรงโดยไม่รู้ตัว

“ฝ่าบาท...”

ขณะที่นางอ้าปากกำลังจะพูด หลี่เต๋อฝูก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก

เขากล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท นายหญิงสวีนำอาหารที่ปรุงเองโดยเฉพาะมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์