ทางด้านจวนจอมพล
กวนฮั่นหลินสั่งให้คนจัดงานเลี้ยง และเชิญเย่จั้นมาดื่มในห้องโถง
พวกเขาทั้งสองคนเป็นทหารแม่ทัพเหมือนกัน ย่อมพูดคุยถูกคอมากกว่าคุยกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นในเชิงศึกสงคราม ฉะนั้นย่อมขาดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องซึ่งกันและกัน
หลังจากดื่มไปสามรอบ กวนฮั่นหลินก็ยกจอกสุราขึ้น
“จอกนี้ ขอคารวะแด่ท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋องที่ทำเพื่อตระกูลอิน หากอินจ้งกลับราชสำนักได้ ต้องให้เขามาคุกเข่าขอบคุณท่านแน่นอน”
เย่จั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จอมพลเฒ่ายกย่องเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะประจำการอยู่ที่ชายแดนและไม่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง แต่ข้าก็รู้ว่าใครทรยศใครภัดี แต่ทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน หากไม่ใช่เพราะค้นเจอจดหมายโต้ตอบกับราชวงศ์เจียงวูในจวนของอินจ้ง ข้าจะช่วยปกป้องเขาจากฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
เขาถอนหายใจและพูดต่อว่า “จอมพลเฒ่าก็ไม่สามารถตำหนิฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นท่านหรือข้าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เกรงว่าเราจะเลือกแบบเดียวกัน”
กวนฮั่นหลินวางจอกสุราลง กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ
“ในฐานะขุนนาง จะตำหนิฮ่องเต้ได้อย่างไร กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทไม่ใช่คนที่แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ กระหม่อมเพียงแต่คิดไม่ตก ไม่เข้าใจว่าทำไมจดหมายโต้ตอบจึงปรากฏในจวนตระกูลอิน แล้วทำไมอยู่ดีๆ อินสิงอวิ๋นถึงหนีกลับมาเมืองหลวง ทั้งยังหนีออกจากจวนจอมพลด้วย”
เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฝ่าบาทไม่พลอยโทษตระกูลกวนไปด้วย กระหม่อมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”
เย่จั้นผลิยิ้มบางๆ พูดว่า “เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก พระสนมเหยาเฟยเคยบอกข้าว่า อินสิงอวิ๋นคืออาซือหลานจากราชวงศ์เจียงวูปลอมตัวมา บางทีตอนที่เขาอยู่ในจวนจอมพลก็อาจไม่ใช่ตัวจริงแล้วก็ได้”
กวนฮั่นหลินตกตะลึง
“อะไรนะ นี่...เป็นเรื่องจริงงั้นรึ”
เย่จั้นพยักหน้ารับ และกล่าวว่า “แน่นอน เขาลงมือโดยที่ยังใช้ใบหน้าของอินสิงอวิ๋นอยู่ เช่นเดียวกับคนที่สวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์เป็นหน้าพระสนมเหยาเฟย”
กวนฮั่นหลินอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาเคยรู้จักอินสิงอวิ๋นมาก่อน
ไม่ว่าจะกิริยาวาจา หรือรูปร่างหน้าตาภายนอก ล้วนไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นตัวปลอม
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ วิชาแปลงโฉมนี่ก็ชักจะน่ากลัวแล้ว ถ้าเขาปลอมเป็นฝ่าบาท จะไม่...”
“จอมพลเฒ่ากังวลเกินไป ฝ่าบาทจะถูกจับง่ายๆ ได้อย่างไร ของเช่นนี้ต้องหาตัวคนให้พบก่อน ถึงจะเลียนแบบรูปลักษณ์ได้...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เย่จั้นก็ฉุกคิดถึงเรื่องอื่นได้ทันที
“หากอนุมานตามนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าอินสิงอวิ๋นตัวจริงอยู่ในเจียงวูงั้นหรือ”
จอมพลกวนกล่าวว่า “นั่นก็จริง แต่ทำไมอินจ้งถึงไม่สังเกตเห็น”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ แต่คำพูดของจอมพลเฒ่าทำให้ข้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะปลอมตัวเป็นฝ่าบาทไม่ได้ แต่เขาก็สามารถปลอมตัวเป็นขุนนางคนอื่นๆ ในราชสำนักได้ ข้าควรรีบเข้าวังเดี๋ยวนี้ จะได้แจ้งให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด
กวนฮั่นหลินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงยืนขึ้นและกล่าวว่า “ที่ท่านอ๋องกล่าวมาก็มีเหตุผล จะดื่มสุราเวลาใดก็ได้ แต่ความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในต้าโจว”
เย่จั้นสะบัดเสื้อคลุมลุกขึ้นยืน ประจวบเหมาะกับอินชิงเสวียนที่เดินเข้าประตูมาพอดี
“เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วรึ”
เย่จั้นกวาดสายตามองนางอย่างสำรวจ
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างเบิกบาน พูดว่า “อืม ไม่เป็นไรแล้ว”
เย่จั้นกล่าวว่า “เจ้าควรกลับจวนอ๋องก่อนเถอะ ข้าจะเข้าวังหน่อย”
แววตาของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไปทันที
“ในวังเกิดอะไรขึ้นรึ”
เย่จั้นยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ไม่มี ข้าแค่คิดอะไรบางอย่างได้ จึงต้องการเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
อินชิงเสวียนเป็นกังวล แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
“งั้น...ก็ได้”
อินชิงเสวียนสวมหน้ากาก แล้วกล่าวลาจอมพลเฒ่ากวน และติดตามทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดกลับไปที่จวนอ๋อง
พอเปิดโทรศัพท์ดูเสี่ยวหนานเฟิงสักพัก เมื่อเห็นว่าแบตเตอรี่เหลือน้อย จึงเอาเข้าไปชาร์จในมิติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...