สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 285

ทางด้านจวนจอมพล

กวนฮั่นหลินสั่งให้คนจัดงานเลี้ยง และเชิญเย่จั้นมาดื่มในห้องโถง

พวกเขาทั้งสองคนเป็นทหารแม่ทัพเหมือนกัน ย่อมพูดคุยถูกคอมากกว่าคุยกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นในเชิงศึกสงคราม ฉะนั้นย่อมขาดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องซึ่งกันและกัน

หลังจากดื่มไปสามรอบ กวนฮั่นหลินก็ยกจอกสุราขึ้น

“จอกนี้ ขอคารวะแด่ท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋องที่ทำเพื่อตระกูลอิน หากอินจ้งกลับราชสำนักได้ ต้องให้เขามาคุกเข่าขอบคุณท่านแน่นอน”

เย่จั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จอมพลเฒ่ายกย่องเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะประจำการอยู่ที่ชายแดนและไม่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง แต่ข้าก็รู้ว่าใครทรยศใครภัดี แต่ทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน หากไม่ใช่เพราะค้นเจอจดหมายโต้ตอบกับราชวงศ์เจียงวูในจวนของอินจ้ง ข้าจะช่วยปกป้องเขาจากฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

เขาถอนหายใจและพูดต่อว่า “จอมพลเฒ่าก็ไม่สามารถตำหนิฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นท่านหรือข้าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เกรงว่าเราจะเลือกแบบเดียวกัน”

กวนฮั่นหลินวางจอกสุราลง กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ

“ในฐานะขุนนาง จะตำหนิฮ่องเต้ได้อย่างไร กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทไม่ใช่คนที่แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ กระหม่อมเพียงแต่คิดไม่ตก ไม่เข้าใจว่าทำไมจดหมายโต้ตอบจึงปรากฏในจวนตระกูลอิน แล้วทำไมอยู่ดีๆ อินสิงอวิ๋นถึงหนีกลับมาเมืองหลวง ทั้งยังหนีออกจากจวนจอมพลด้วย”

เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฝ่าบาทไม่พลอยโทษตระกูลกวนไปด้วย กระหม่อมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”

เย่จั้นผลิยิ้มบางๆ พูดว่า “เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก พระสนมเหยาเฟยเคยบอกข้าว่า อินสิงอวิ๋นคืออา‍ซือ‍หลานจากราชวงศ์เจียงวูปลอมตัวมา บางทีตอนที่เขาอยู่ในจวนจอมพลก็อาจไม่ใช่ตัวจริงแล้วก็ได้”

กวนฮั่นหลินตกตะลึง

“อะไรนะ นี่...เป็นเรื่องจริงงั้นรึ”

เย่จั้นพยักหน้ารับ และกล่าวว่า “แน่นอน เขาลงมือโดยที่ยังใช้ใบหน้าของอินสิงอวิ๋นอยู่ เช่นเดียวกับคนที่สวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์เป็นหน้าพระสนมเหยาเฟย”

กวนฮั่นหลินอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาเคยรู้จักอินสิงอวิ๋นมาก่อน

ไม่ว่าจะกิริยาวาจา หรือรูปร่างหน้าตาภายนอก ล้วนไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นตัวปลอม

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ วิชาแปลงโฉมนี่ก็ชักจะน่ากลัวแล้ว ถ้าเขาปลอมเป็นฝ่าบาท จะไม่...”

“จอมพลเฒ่ากังวลเกินไป ฝ่าบาทจะถูกจับง่ายๆ ได้อย่างไร ของเช่นนี้ต้องหาตัวคนให้พบก่อน ถึงจะเลียนแบบรูปลักษณ์ได้...”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เย่จั้นก็ฉุกคิดถึงเรื่องอื่นได้ทันที

“หากอนุมานตามนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าอินสิงอวิ๋นตัวจริงอยู่ในเจียงวูงั้นหรือ”

จอมพลกวนกล่าวว่า “นั่นก็จริง แต่ทำไมอินจ้งถึงไม่สังเกตเห็น”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ แต่คำพูดของจอมพลเฒ่าทำให้ข้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะปลอมตัวเป็นฝ่าบาทไม่ได้ แต่เขาก็สามารถปลอมตัวเป็นขุนนางคนอื่นๆ ในราชสำนักได้ ข้าควรรีบเข้าวังเดี๋ยวนี้ จะได้แจ้งให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด

กวนฮั่นหลินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงยืนขึ้นและกล่าวว่า “ที่ท่านอ๋องกล่าวมาก็มีเหตุผล จะดื่มสุราเวลาใดก็ได้ แต่ความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในต้าโจว”

เย่จั้นสะบัดเสื้อคลุมลุกขึ้นยืน ประจวบเหมาะกับอินชิงเสวียนที่เดินเข้าประตูมาพอดี

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วรึ”

เย่จั้นกวาดสายตามองนางอย่างสำรวจ

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างเบิกบาน พูดว่า “อืม ไม่เป็นไรแล้ว”

เย่จั้นกล่าวว่า “เจ้าควรกลับจวนอ๋องก่อนเถอะ ข้าจะเข้าวังหน่อย”

แววตาของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไปทันที

“ในวังเกิดอะไรขึ้นรึ”

เย่จั้นยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ไม่มี ข้าแค่คิดอะไรบางอย่างได้ จึงต้องการเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนเป็นกังวล แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

“งั้น...ก็ได้”

อินชิงเสวียนสวมหน้ากาก แล้วกล่าวลาจอมพลเฒ่ากวน และติดตามทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดกลับไปที่จวนอ๋อง

พอเปิดโทรศัพท์ดูเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงสักพัก เมื่อเห็นว่าแบตเตอรี่เหลือน้อย จึงเอาเข้าไปชาร์จในมิติ

เมื่อเห็นสตรีในภาพวาด อินชิงเสวียนก็ตกใจเล็กน้อย เหตุใดภาพวาดของสตรีคนนี้จึงดูคล้ายกับเจ้าของร่างเดิมมาก

แต่หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามีเสน่ห์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าของร่างเดิมมีนิสัยอ่อนโยน เงียบขรึม ทว่าสตรีในภาพดูอรชร ดวงตาดูเจ้าเล่ห์ ในมือของนางถือม่านลูกปัด เอียงศีรษะ ราวกับว่านางกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่ จิตรกรที่วาดภาพทำให้ความแปลกใหม่ในดวงตาดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ!

เอ่อ คงไม่ได้วาดตัวนางในตอนนี้กระมัง!

หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่านางหลงตัวเองไปหน่อย เมื่อมองดูม้วนภาพวาดที่มีสีเหลือง จึงคิดว่าคงจะเก่าแล้ว เจ้าของร่างเดิมอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เมื่อหลายปีก่อนนางยังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น

ครั้นจึงคิดในใจว่าในสมัยโบราณคงมีคนหน้าตาคล้ายกันอยู่มากมาย อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนจากข้างนอก “หม่อมฉันถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”

อินชิงเสวียนสะดุ้ง จึงม้วนภาพวาดยัดลงในแจกันลายครามที่มีใช้เก็บภาพวาดทันที แล้วหยิบหน้ากากครึ่งหน้าเดินออกมาจากห้อง

ทำท่าทางตะโกน “ชุนหลิ่ว เจ้าพอจะ...”

ในระหว่างที่พูด นางก็เห็นเย่จั้นเข้าพอดี

พอเขาเห็นอินชิงเสวียนเดินออกมาจากห้องหนังสือ เย่จั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

อินชิงเสวียนรีบอธิบายว่า “ข้าไม่ได้มาทำอะไร แค่อยากมาดูว่ามีตำราที่กล่าวถึงวิชาแปลงโฉมบ้างหรือไม่ แต่ต่อมาก็พบว่าหน้ากากครึ่งหน้านี้อาจจะใช้ได้ จึงอยากให้ชุนหลิ่วมาลองดู”

เย่จั้นมองไปที่หน้ากากผิวหนังมนุษย์ทันที

“ครึ่งหน้า?”

อินชิงเสวียนพยักหน้า พร้อมกับเดินไปหาชุนหลิ่ว แล้วกดหน้ากากผิวหนังมนุษย์ลงใบหน้าของนาง แล้วปิดอีกครึ่งหน้าที่เหลือ เสร็จแล้วก็สามารถมองออกไปว่าใบหน้าเป็นอินชิงเสวียน แต่จมูกของชุนหลิ่วไม่โงพอ ดังนั้นจึงค่อนข้างผิดสัดส่วนไปบ้าง

“เป็นอย่างไร” นางหันกลับไปถาม

เย่จั้นมองดูสักพักแล้วพูดว่า “ค่อนข้างน่าเชื่อจริงๆ”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็มีความคิดที่กล้าหาญ

“ถ้าท่านอ๋องนำหน้ากากผิวหนังมนุษย์ครึ่งหน้านี้เข้าวัง น่าจะโน้มน้าวใจมากกว่าข้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะยอมไปกับข้าอีกหรือไม่”

เย่จั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหลับอยู่ รอให้มืดกวี้หน่อยดีกว่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์