สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 284

ทันใดนั้นดวงตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็มืดลง เขามองไปยังซ่งเซี่ยด้วยแววตาเยียบเย็น

“ใครบอกแม่ทัพซ่ง ว่าผู้ที่ทำร้ายข้าคือเหยาเฟย?”

ซ่งเซี่ยเป็นคนที่ดีแค่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่กลับมีความคิดมักง่าย เขาพูดโดยไม่ยั้งคิด “ข่าวนี้มาจากในวังพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนต่างก็ทราบดี ขอฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยโดยเร็ว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ผู้ที่กล้าบิดเบือนความจริงเช่นนี้ ทำราวกับไม่เห็นข้าในสายตา หากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนแพร่ข่าวลือ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด”

ซ่งเซี่ยยังคงพูดอย่างดื้อดึง “ดังคำกล่าวที่ว่า หากไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ฝ่าบาทควรจับตัวนังมารร้ายนั่นมา เพื่อดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรม!”

เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้เย็นชา พูดเสียงเฉียบขาด “เป็นเพียงคนที่ได้ฟังข่าวลือมาเท่านั้น แต่กลับกล้ามาเห่าหอนต่อหน้าข้า ข้าต้องทำอย่างไร ต้องให้เจ้ามาสอนด้วยรึ”

เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทโกรธ ซ่งเซี่ยก็ตกใจกลัว รีบคุกเข่าเสียงกระทบพื้นดังลั่น

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เกรี้ยวกราดรุนแรง “ยังกล้าแก้ตัวอีก เด็กๆ ลากตัวซ่งเซี่ยออกไป ลงโทษโบยสามสิบไม้ หากผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้อีก ก็จะถูกโบยหกสิบไม้”

ดวงตาของกวนเมิ่งถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้า “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี อย่าเพิ่งมีอารมณ์ แต่ไหนแต่ไรมาแม่ทัพซ่งก็พูดจาปากไม่มีหูรูด ขอให้ฝ่าบาทยกโทษให้แม่ทัพซ่งที่บังอาจกล่าวเช่นนั้น เขาทำเพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท และบ้านเมืองของต้าโจวนะพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ในเมื่อฝ่าบาทไม่ได้ถูกพระสนมเหยาเฟยทำร้าย แล้วเป็นผู้ใดเล่า”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างเย็นชา “ไม่ทราบ รู้แต่ว่าผู้ที่ทำร้ายข้าคือชายที่สวมหน้ากาก”

กวนเมิ่งถิงหรี่ตาแล้วถามว่า “ฝ่าบาททรงเห็นเขาหรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้มอย่างเย็นชา พูดว่า “การสืบหานักฆ่า เป็นหน้าที่ของพวกท่านไม่ใช่หรอกรึ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ต้องมาถามข้า แล้วข้าจะเลี้ยงพวกท่านไว้ทำไม”

กวนเมิ่งถิงหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “กระหม่อมกำลังสืบสวนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้นิ่งขึง เจือไปด้วยความเย็นชาหลายส่วน

“แล้วผลล่ะ”

กวนเมิ่งถิงรีบโค้งคำนับ พูดว่า “กระหม่อมกำกับดูแลกองตระเวนเมือง ส่วนจอมพลกวนและทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดของจิ้งอ๋องกำลังสืบหาตัวนักฆ่าอยู่ ด้วยความร่วมมือจากทั้งสามด้าน กระหม่อมเชื่อแน่ว่าอีกไม่นานก็จะได้ข่าว เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่กระหม่อมไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หรี่ตาลง พูดเสียงเรียบ “พูดมา”

กวนเมิ่งถิงเหลือบมองเย่จิ่งเย่าแล้วพูดว่า “เกรงว่าฝ่าบาทจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัว แต่จะไม่มาประชุมเช้าก็ไม่ได้ กระหม่อมคิดว่าควรแต่งตั้งให้ใครสักคนมารับผิดชอบชั่วคราว เพื่อให้จะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราชสำนักได้ทุกเมื่อ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หลับตา ไม่ได้เอ่ยคำใด

กวนเมิ่งถิงขยิบตาให้เสนาบดีกรมพิธีการทันที

เสนาบดีกรมพิธีการก้าวไปข้างหน้า แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมคิดว่าอันผิงอ๋องได้ออกมาจากสุสานหลวงนานแล้ว ควรจะกลับราชสำนักได้แล้ว ตอนนี้ก็สามารถแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทได้พอดี”

เย่จิ่งเย่าเม้มริมฝีปาก ประกบมือคารวะแล้วพูดว่า “กระหม่อมยินดีที่จะช่วยฝ่าบาทดูแลกิจการบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถ ขอให้ฝ่าบาททรงพักผ่อนรักษาสุขภาพได้อย่างเต็มที่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

เจตนาของคนเหล่านี้ คิดว่าคงไม่ต้องการปิดบังซ่อนเร้นอีกแล้ว

หากอนุญาตให้เย่จิ่งเย่ากลับมาประชุมเช้า ราชสำนักจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเป็นแน่

ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ เรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

เย่‍จิ่ง‍อวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังเสนาบดีกรมพิธีการ

“ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการซูฮ่วน เดิมทีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน แต่กลับถูกลอบสังหารที่บ้านโดยไม่มีเหตุผล ท่านเสนาไม่ไปให้ความร่วมมือกับกองตระเวนเมืองเพื่อหาตัวฆาตกร แต่กลับมาแนะนำผู้ที่มีความสามารถให้ข้าแทน เย่จิ่งเย่าเป็นน้องชายของข้า ที่ข้ารู้จักเขา ยังไม่ลึกซึ้งเทียบเท่าที่ท่านเสนารู้จักอีกงั้นหรือ”

เมื่อได้ยินชื่อซูฮ่วน เสนาบดีกรมพิธีการก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

ฉินไห่ฉิวถือฮู่ป่านเดินออกมากลางห้อง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ขณะนี้มีการสร้างประตูน้ำ 5 แห่งและอ่างเก็บน้ำ 3 แห่ง ซึ่งสามารถยืนยันความทนทานของคอนกรีตที่พระสนมเหยาเฟยกล่าวไว้ได้ และได้ผันน้ำลงคลองแล้ว ราษฎรจำนวนมากได้กลับคืนสู่บ้านเกิด และกำลังเตรียมทำนาข้าวอีกครั้ง”

หานสือยังพูดอย่างมีความสุขว่า “พืชผลในทุ่งนาก็เติบโตดีมาก เชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวฤดูที่สองได้”

คนอื่นๆ ยังได้พูดถึงเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง แม้ว่าฮ่องเต้จะเอนกายลงครึ่งหนึ่ง แต่บารมีแห่งราชาก็ยังอยู่ ซึ่งไม่ต่างจากตอนประชุมเช้าในราชสำนักตามปกติแม้แต่น้อย

หลี่เต๋อฝูได้รับฎีกาจากขุนนางแล้ว ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ที่ต้องการพูดแทนเย่จิ่งเย่าก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าหากพวกเขาพูดให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัย อาจจะถูกส่งไปที่ด่านถงกู่เช่นเดียวกับเขา

เย่‍จิ่ง‍อวี้ส่งสัญญาณให้หลี่เต๋อฝูวางฎีกาไว้ข้างๆ และกล่าวกับเสนาบดีกรมกลาโหมว่า “ช่วงนี้มีข่าวจากด่านถงกู่บ้างหรือไม่”

เสนาบดีกรมกลาโหมกล่าวด้วยความเคารพ “ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าคงไม่ขาดแคลนปัจจัยวัตถุสิ่งของใดๆ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพียงแต่กระหม่อมรู้สึกว่าไม่มีข่าวก็อาจไม่ใช่ข่าวดี ช่วงหลายวันนี้กระหม่อมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ยากจะสงบใจได้”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้าเล็กน้อย

“เจ้าเขียนจดหมายไปสอบถามสถานการณ์ที่ด่านถงกู่ได้เลย”

จากนั้นเขาก็พูดเสียงเรียบ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปกันเถอะ”

บรรดาขุนนางมองหน้ากัน แล้วจึงคุกเข่ากล่าวทูลลา

หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว หลี่เต๋อฝูก็รีบเข้าไปถามอาการทันที

“จู่ๆ ฝ่าบาทก็ตรัสตั้งมากมาย ทรงเหนื่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พิงหมอนนุ่มๆ คิ้วของเขาขมวดช้าๆ

“ข้าไม่เหนื่อย ข้าแค่กังวล...กังวล...เท่านั้น เจ้าก็ออกไปเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์