สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 310

คนในเงามืดตกใจเล็กน้อย

“ท่านคือ... ท่านอ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อ?”

คนนั้นหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “เสนากวนตาถึงจริงๆ”

ร่างในเงามืดเดินออกมาที่สว่าง และเขาก็คือเสนากวนเมิ่งถิงของต้าโจว

เมื่อเห็นอาซือหลาน กวนเมิ่งถิงก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

“ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ”

อาซือหลานพูดขึ้นด้วยความเหน็บแนม “ข้าเองก็นึกไม่ถึง ว่าผู้ที่แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองไม่มีกับเจียงวูมาโดยตลอด จะเป็นเสนาของแคว้นโจว”

กวนเมิ่งถิงพูดด้วยสีหน้าปกติว่า “มีคำกล่าวมาตั้งแต่โบราณว่า ผู้รู้สถานการณ์แผ่นดินนั้นเรียกว่าเป็นยอดบุรุษ ข้าก็อยากเป็นยอดบุรุษผู้รู้สถานการณ์เช่นกัน”

เขาโบกมือ คนรับใช้ก็เข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับปิดประตู

อาซือหลานเหลือบมองกวนเมิ่งถิงด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดลากเสียงยาวว่า “เรื่องนี้ก็พอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ท่านเสนาก็เหลือเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น ไม่แปลกที่จะไม่พึงพอใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านเสนาไม่ได้ประสบความสำเร็จในสิ่งใด หากต้องการได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเจียงวู เกรงว่ายังไม่พอ”

กวนเมิ่งถิงพูดด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ได้ “ข้าคิดจะผลักดันอ๋องอันผิงมาโดยตลอด ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ เขาต้องทำลายผู้คนที่สุขสงบเหล่านี้ได้แน่ แต่เขากลับล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เย่จิ่งเย่าก็เป็นคนที่ทำสิ่งใดไม่เคยสำเร็จสักอย่าง ข้าเองก็หมดซึ่งหนทางเช่นกัน”

อาซือหลานพูดอย่างไม่เกรงใจ “นี่เป็นปัญหาเรื่องความสามารถของท่าน”

เขาเปลี่ยนเรื่องและพูดขึ้นว่า “ตอนนี้กวนฮั่นหลินตายแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่คือเย่จั้นและอินจ้ง หากท่านเสนากำจัดใครคนหนึ่งได้ วันใดที่เจียงวูนำกองทัพกีบเหล็กฝ่าด่านถงกู่ไปได้ จะต้องมีพื้นที่เหลือไว้สำหรับท่านเสนาแน่นอน”

“คือ... จิ้งอ๋องมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก คิดจะทำร้ายเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้อินจ้งอยู่ที่เมืองซุ่ยหานแสนห่างไกล ข้าอยากจัดการเขาแต่ก็เหลือบ่ากว่าแรง”

อาซือหลานยิ้มอย่างงดงามและพูดว่า “ท่านเสนาถ่อมตัวเกินไปแล้ว ท่านจัดการทุกคนที่กวนฮั่นหลินส่งมาสืบเรื่องของตระกูลอินแล้วไม่ใช่หรือ นี่ก็ถือเป็นการช่วยงานใหญ่ของข้า หากการคาดเดาของข้าไม่ผิดเพี้ยน อีกไม่กี่วันอินจ้งจะกลับเมืองหลวง และข้าจะยกเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ ส่วนเย่จั้น ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง และข่าวการตายของข้าจะถูกกระจายไปทั่วเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่ท่านต้องทำตอนนี้ก็คือฟังคำสั่งของฮ่องเต้ เพื่อให้อินจ้งกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”

กวนเมิ่งถิงถามด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ “หากอินจ้งกลับสู่ราชสำนัก ฮ่องเต้น้อยจะต้องส่งเขาไปที่เจียงวู นี่มันเสือที่ติดปีกชัดๆ นี่ไม่ใช่เรื่องดีต่อเจียงวูเลยสักนิด”

อาซือหลานส่ายหัวและพูดว่า “ไม่หรอก เขาอยู่ที่เมืองซุ่ยหาน และเย่จั้นเป็นผู้คุ้มครอง เรื่องนี้คือเรื่องยากที่แท้จริง หากกลับมาแล้วก็จะลงมือได้ง่าย เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูที่ความสามารถของเขาแล้ว”

กวนเมิ่งถิงเข้าใจในทันที

“เป็นจริงอย่างที่ท่านอ๋องว่า พรุ่งนี้ข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ แต่ว่ากวนฮั่นหลินตายแล้วจริงหรือ?”

“เขาต้องตายอย่างแน่นอน ข้ายังต้องกลับไปพบหลานชายสุดที่รักของเขาอีก วันหลังข้าจะกลับมาเยี่ยมใหม่”

อาซือหลานประสานมือคำนับ และหมุนตัวเดินออกไป

เมื่อเห็นเงาหลังของเขา กวนเมิ่งถิงก็ขมวดคิ้ว

เขาสามารถหาที่นี่พบ ก็หมายความว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว กวนเมิ่งถิงรีบออกคำสั่งทันที และปิดตายที่แห่งนี้ จากนั้นก็ให้คนรับใช้หาครอบครัวธรรมดาเข้ามาอาศัย แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในห้องมืด

อาซือหลานสวมหน้ากากกวนเซี่ยวอีกครั้ง เขายิ้มที่มุมปาก และเดินหายเข้าไปในตรอก

หากแม่ทัพสงครามของต้าโจวตายหมด ผู้ใดจะขวางกองทัพกีบเหล็กของเจียงวูได้อีก!

ในบ้านของชาวนาแห่งหนึ่ง กวนเซี่ยวตัวจริงเพิ่งตื่นขึ้น

เมื่อเห็นฟางรั่วที่สวมใส่กระโปรงเนื้อผ้าหยาบๆ นั่งอยู่ด้านข้าง เขาก็ตกใจเล็กน้อย

“คุณชายใหญ่เล่า?”

ฟางรั่วเหลือบมองเขาด้วยความสงสาร

“ออกไปทำธุระเจ้าค่ะ”

กวนเซี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เขาพาข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร อีกอย่าง เหตุใดพวกเจ้าต้องวางยาข้าติดต่อกันหลายครั้งด้วย?”

ฟางรั่วกำลังจะพูด คนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอกประตูพอดี

เมื่อเห็นท่าทางของเขา กวนเซี่ยวก็ตกใจเป็นอย่างมาก

คนคนนี้กลับมีหน้าตาเหมือนกับเขาไม่มีผิด

“ท่าน… ท่านคือ?”

อาซือหลานหัวเราะเบาๆ และพูดขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าปลอมเป็นเจ้าไม่แย่เลยใช่ไหม?”

กวนเซี่ยวถามด้วยความประหลาดใจ “ท่าน เพราะเหตุใด?”

อาซือหลานพูดขึ้นอย่างส่งเดช “ข้าเพียงรู้สึกว่าใบหน้านี้ไม่เลวทีเดียว จึงขอยืมมาใช้เสียหน่อย ไม่ต้องตกใจถึงขนาดนั้น”

กวนเซี่ยวรีบยืนขึ้นทันที “เช่นนั้นข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”

“ก็ดี คืนนี้เรามาเจอกันตอนตีหนึ่ง พบกันนอกกำแพงวัง”

อาซือหลานส่งกวนเซี่ยวออกไป มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ฟางรั่วถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “หากเขากลับไปที่จวนจอมพลก่อน แผนจะไม่แตกหรอกหรือเพคะ”

อาซือหลานหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อข้าสามารถจัดแผนการเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะผิดพลาดแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่ากวนเซี่ยวจะเป็นหรือตาย ตระกูลกวนจะต้องยืนฝ่ายตรงข้ามกับฮ่องเต้ และถ้าหากกวนเซี่ยวตายแล้วจริงๆ จะสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในการยุยงเหล่าขุนนาง หากเกิดความโกลาหลในราชสำนัก ก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ทีละคน”

ฟางรั่วถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “กวนเซี่ยวสวมหน้ากาก คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา?”

“หน้ากากชิ้นนี้ไม่ประณีตมากนัก สีผิวก็แตกต่างกับกวนเซี่ยวค่อนข้างมาก คนที่สายตาแหลมคมเล็กน้อยต่างก็มองออกทั้งนั้น โดยเฉพาะเย่จิ่งอวี้”

ฟางรั่วถามอีกว่า “กวนเมิ่งถิงเคยทรมานและซักถามนายท่าน นายท่านยังคิดจะร่วมมือกับเขาอีกหรือ?”

อาซือหลานหัวเราะเยาะเย้ย “เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั้น ความเจ็บปวดทางกาย และทางผิวหนังนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรรอให้ข้าทำสำเร็จก่อน ข้าจะให้เขาร้องขอความตายอย่างทุกข์ทรมาน!”

ในระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน กวนเซี่ยวก็กลับมาถึงจวนจอมพลแล้ว

การที่สลบไปทั้งสองครั้ง ทำให้เขาเกิดความสงสัยบางอย่างในใจ สำหรับคำพูดของอินสิงอวิ๋น เขาไม่ได้เชื่อทั้งหมด

ตอนนี้เขาได้สวมหน้ากากของคนอื่นแล้ว และเตรียมจะกลับมาเพื่อสืบข่าว

เมื่อถึงหน้าประตู ก็ได้ยินคนสองคนกระซิบกระซาบกัน

“ได้ยินว่าฮ่องเต้ส่งคนมาฆ่าจอมพลเฒ่ากวน ฮ่องเต้น้อยช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”

“แบบนี้ที่เรียกว่าเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล จอมพลเฒ่ากวนอำนาจสูงกลบนาย ฮ่องเต้น้อยหวาดกลัวมาตั้งนานแล้ว”

“น่าเสียดายชื่อเสียงทั้งชีวิตของจอมพลเฒ่ากวน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่ได้รับความสงบสุข ได้ยินว่าร่างของเขาถูกนำเข้าไปในวัง และถูกเฆี่ยนตีเพื่อระบายความโกรธ”

“นี่อำมหิตเกินไปแล้ว หากคุณชายน้อยรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะทนรับไหวได้อย่างไร”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ กวนเซี่ยวเบิกตาโตด้วยความโกรธ กัดฟันกรอดพร้อมก่นด่าในใจ

เย่จิ่งอวี้ แกมันก็แค่สุนัขฮ่องเต้!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์