สวีจือย่วนที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ จำหน้าคนได้แล้ว เรียกฝ่าบาทเป็นด้วย”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้ามีความสุข “จ้าวเอ๋อร์เป็นโอรสสายตรงของข้า ย่อมฉลาดอยู่แล้ว”
สวีจือย่วนหยุดไปชั่วขณะ และเหมือนตั้งใจแต่คล้ายไม่เจตนา “มีเพียงโอรสที่เกิดจากครรภ์ของฮองเฮาเท่านั้นกระมัง ถึงสามารถเรียกว่าโอรสสายตรงได้”
เมื่อมองดูเด็กน้อยที่กำลังเล่นผมของเขา เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มกล่าวด้วยนน้ำเสียงเจือความเอ็นดูลุ่มหลง
“เสวียนเอ๋อร์ก็คือฮองเฮาของข้า ตอนนี้แม่ทัพอินได้กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ข้าจะรีบแก้ไขสถานะให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด เดิมทีนางก็เป็นชายาเอกเมื่อตอนที่ข้ายังเป็นรัชทายาทอยู่แล้ว จะอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม”
สวีจือย่วนตกตะลึงเล็กน้อย “แม่ทัพอิน...จะกลับราชสำนักแล้วหรือเพคะ”
ถ้าอินจ้งกลับมาจริงๆ แล้วใครจะเป็นต่อสู้กับอินชิงเสวียนได้อีก
ตระกูลฝ่ายแม่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท...
เย่จิ่งอวี้กำลังยุ่งอยู่กับการหยอกล้อเสี่ยวหนานเฟิง ไม่มีเวลาอธิบายมาก เขาจึงตอบรับสั้นๆ
อินชิงเสวียนเพิ่งเดินมาถึงประตูพอดี เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็อดยินดีเสียมิได้
“ฝ่าบาททรงกลับคำพิพากษาตระกูลอินแล้ว?”
เขามองดูดวงตากลมโตที่เบิกกว้างของอินชิงเสวียน แล้วเย่จิ่งอวี้ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องที่ข้าเคยพูดไว้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้”
อินชิงเสวียนก้าวเร็วๆ สองก้าว โค้งคำนับและกล่าวว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ ช่วงนี้เจ้าก็รักษาสุขภาพให้ดี เพื่อไม่ให้แม่ทัพอินกลับมาแล้ว ตำหนิข้าที่ดูแลเจ้าไม่ดี”
นี่เป็นเพียงคำพูดเย้าแหย่เท่านั้น เขาเป็นถึงราชาผู้ครองแคว้น ผู้ใดจะกล้าตำหนิเขา
แม้ว่าอินชิงเสวียนจะรู้เรื่องนี้ แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
นางตีสีหน้าเคร่งขรึม พูดว่า “หม่อมฉันจะกินข้าวเยอะๆ พยายามเพิ่มน้ำหนักสักหลายๆ จิน”
ซึ่งในตอนนี้ เสี่ยวหนานเฟิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ซึ่งดวงตาที่คล้ายพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้นช่างดูเหมือนกับอินชิงเสวียนมาก
เมื่อได้มองดูสองแม่ลูกทั้งคู่ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกอารมณ์ดี
“เมื่อวานข้ายังไม่ได้กินซาลาเปา ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีลาภปากหรือไม่”
“ถ้าฝ่าบาทอยากเสวย เมื่อใดก็ย่อมได้”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันกลับมาสั่งความ “อวิ๋นฉ่าย ไปนวดแป้งไว้เร็ว”
สวีจือย่วนก้าวไปข้างหน้า แล้วยอบกายคำนับอินชิงเสวียน
“ขอแสดงความยินดีกับพระสนม ขอแสดงความยินดีกับพระสนม หากแม่ทัพใหญ่ได้กลับมา ย่อมเป็นโชคดีของต้าโจว”
อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ “ขอบคุณนายหญิงสวี”
สวีจือย่วนกล่าวเสริมอีกว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความยินดีของพระสนม ไม่ทราบว่าให้หม่อมฉันอยู่ดื่มสุราด้วยสักจอกได้หรือไม่ เพื่อเป็นการรับความมงคลไปด้วย”
“ถ้านายหญิงสวีชอบ ก็เชิญอยู่เถิด”
ดังสุภาษิตที่ว่า มือที่ยื่นมาไม่ยอมตบคนยิ้มให้
อินชิงเสวียนคงไล่นางออกไปไม่ได้ แต่ในใจกลับมีความขุ่นเคืองที่มองไม่เห็นอยู่แล้ว
เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของสวีจือย่วนในวันนั้น ทำให้อินชิงเสวียนสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ บางที...นางคงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองมากเกินไปกระมัง
หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจ เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นไปที่ศาลาหินแล้ว
เขาวางเสี่ยวหนานเฟิงไว้บนตัก มือจับเท้าเล็กๆ ที่แทบจะสัมผัสไม่เจอกระดูกของเขา
กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนที่ข้ายังเด็ก มักจะนั่งฟังเสด็จแม่เล่านิทานอยู่ที่นี่ ถ้าจ้าวเอ๋อร์โตขึ้นอีกหน่อย ข้าก็จะเล่าให้เขาฟังเช่นกัน”
เสี่ยวหนานเฟิงเงยหน้าเล็กจ้อยขึ้นมองเขา ราวกับเข้าใจคำพูดของเขา เมื่อเย่จิ่งอวี้พูดจบ เขาก็พยักหน้าจริงๆ
อินชิงเสวียนนั้นเมื่อเห็นอากัปกิริยาของเสี่ยวหนานเฟิงแล้วก็รู้สึกขำ
เสี่ยวหนานเฟิงรู้คำศัพท์บางคำจริงๆ และสามารถอ่านสีหน้าของคนได้ แต่ก็ไม่มากขนาดนั้น เป็นเพียงเรื่องบังเอิญมากกว่า
เย่จิ่งอวี้มีความสุขมาก เขาก้มหน้าหอมแก้มกลมๆ ย้วยๆ ของเขาฟอดใหญ่
พูดด้วยรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้า “จ้าวเอ๋อร์เก่งจริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...