ณ ห้องหนังสือ
เย่จิ่งอวี้ถอดมาลามงกุฎออก แล้วเปลี่ยนเป็นชุดคลุมตัวยาวตรงสีขาวราวกับหิมะ
คาดเอวด้วยผ้าโปร่งเมฆาสีขาวเงินจันทร์ และมีหยกขาวสีไขมันแพะชั้นดีสองชิ้นห้อยไว้ที่สายคาดเอว ทว่าอาภรณ์ที่เรียบง่ายเช่นนี้ยังคงไม่สามารถปกปิดความสูงศักดิ์แต่กำเนิดของเขาได้
ฉินไห่ฉิวยืนเข้างๆ ด้วยความเคารพ
“สิ่งที่ฝ่าบาทให้ไปรวบรวม กระหม่อมได้ส่งคนไปรวบรวมได้มากแล้ว และได้สั่งให้คัดแยกเป็นหมวดหมู่ เก็บไว้ในคลังของกรมโยธาพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่างท่าผึ่งผายองอาจ พูดเรียบๆ “ดีมาก ภายในวันสองวันนี้ ข้าจะส่งคนไปตรวจรับ ข้อมูลนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับด้วย”
ฉินไห่ฉิวโค้งคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมจะปิดปากเงียบ ไม่เปิดเผยออกไปแม้เพียงครึ่งคำ”
เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอืมตอบรับ แล้วพูดว่า “อืม ออกไปเถอะ”
“กระหม่อมขอทูลลา”
แม้ว่าฉินไห่ฉิวจะไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็เชื่อในตัวของเย่จิ่งอวี้
วิธีการผันน้ำจากใต้ขึ้นเหนือเห็นผงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าการตัดสินใจของเย่จิ่งอวี้นั้นถูกต้อง
เมื่อฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ฉินไห่ฉิวก็เป็นเหมือนกับขุนนางทุกคน ที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนใจไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ตราบใดที่ฝ่าบาทสามารถทำเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง จะเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาหรือพระสนมก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว
ถ้าขืนปล่อยให้เย่จิ่งเย่าผู้โง่เขลาขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ นั่นถึงจ้ะป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างแท้จริง
ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งจะมีโชคชะตาฟ้าลิขิต ควรเป็นผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น ไม่มีทางหลบพ้น
หลังจากคิดถึงความจริงนี้ได้แล้ว ฉินไห่ฉิวก็เดินฉับๆ มุ่งหน้าออกจากวังหลวง
ห้องหนังสือ
เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้น เขาเดินไปสองก้าว แล้วหันไปบอกหลี่เต๋อฝูว่า “ไปแจ้งไทเฮาว่า โหราจารย์ได้คำนวณออกมาแล้วว่าดวงชะตาของบ้านเมืองกำลังตกต่ำ จำเป็นต้องหานักบวชเข้าวังมาประกอบพิธีกรรม ข้าได้สั่งให้คนไปหาหลวงจีนผู้มีฌานตบะสูงมาแล้ว จะรับเข้ามาสู่หอสวดมนต์ในวันนี้ยามซวี (19.00-21.00)”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”
หลี่เต๋อฝูขานรับคำสั่งแล้วออกจากห้องหนังสือ แล้วก็ได้พบกับสวีจือย่วนเข้าพอดี
นางยอบกายคำนับหลี่เต๋อฝูเล็กน้อย พูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “ยินดีที่ได้พบหลี่กงกง”
หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นายหญิงไม่จำเป็นต้องสุภาพ โปรดอย่าทำให้บ่าวอายุสั้นเลย”
สวีจือย่วนถามขึ้นมาอีก “ฝ่าบาทพระอาการดีขึ้นแล้วหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้ว”
สวีจือย่วนร้องอ๋อ แล้วพูดว่า “ข้านำน้ำแกงปลามาด้วย เพื่อบำรุงสุขภาพของฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทอยู่ด้านใน บ่าวจะไปแจ้งให้ท่านเดี๋ยวนี้”
หลี่เต๋อฝูรู้ว่าฝ่าบาทปฏิบัติต่อสวีจือย่วนอย่างดี และรู้ด้วยว่าสวีจือย่วนมีปานบนร่างกาย นางอาจเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ช่วยฝ่าบาทในตอนนั้น เขาจึงไม่กล้าทำเมินเฉยต่อนาง
ในความคิดของเขา ฝ่าบาทควรจะมีสนมมากๆ เพื่อเป็นการสืบทอดสายเลือดของราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะชอบพระสนมเหยาเฟย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการที่เขาจะดีต่อสตรีผู้อื่นด้วย
นับตั้งแต่ฝ่าบาทถูกพระสนมเหยาเฟยวางยาในวันนั้น เขาไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีอื่นเลย หลี่เต๋อฝูก็กังวลเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นในวังหลังยังมีนายหญิงที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งยศอีกมากมาย ถ้าขืนปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ ไปเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย
เขาเดินเข้าไปในห้องทันที แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท นายหญิงสวีมาพ่ะย่ะค่ะ”
“นางมาทำไม”
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการไปที่ตำหนักจินหวู แต่เมื่อได้ยินสวีจือย่วนมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หลี่เต๋อฝูขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายหญิงย่อมเป็นห่วงฝ่าบาทอยู่แล้ว จึงปรุงน้ำแกงปลามาส่งไปให้ฝ่าบาทด้วยตัวเอง”
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางเข้ามาเถอะ”
ครู่ต่อมา สวีจือย่วนก็เข้ามาพร้อมกับหานปิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...