“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าดูแลให้ดีด้วย”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“ออกไปเถอะ”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ
หมอหลวงเหลียงถอยหลังออกไปหลายก้าว
“กระหม่อมทูลลา”
หลังจากที่หมอหลวงเหลียงจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้านใน
นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “การต่อสู้เมื่อครู่ คงทำให้ฝ่าบาทมีเหงื่อออกมาก หม่อมฉันได้สั่งให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว ฝ่าบาทไปชำระพระวรกายเถิด”
เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทั้งที่สวมชุดคลุม เดินมาหาอินชิงเสวียน แล้วมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”
อินชิงเสวียนยักไหล่
“หม่อมฉันดูคล้ายคนที่เป็นอะไรงั้นหรือเพคะ”
เย่จิ่งอวี้มองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ์เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อาจจะรับฝ่ามือของคนประหลาดผู้นั้นไม่ได้”
เขาขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง “เสวียนเอ๋อร์รู้จักคนประหลาดผมขาวคนนั้นหรือเปล่า”
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ “ไม่รู้จักเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แปลกมาก ทำไมพอเขาเห็นเจ้าถึงเรียกเจ้าว่าศิษย์ แล้วเหตุใดถึงมีวรยุทธ์สูงขนาดนี้”
อินชิงเสวียนพูดอย่างไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร “หม่อมฉันก็สงสัยมากเหมือนกันเพคะ ตั้งแต่เด็กจนโต หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นคนเช่นนี้”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสับสน เย่จิ่งอวี้ถามไม่ลง
“ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”
แล้วเขาก็เดิ นออกมายังห้องโถงถ้านนอก ถอดเสื้อคลุมสกปรกออก แล้วโยนลงพื้น
อินชิงเสวียนรู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะมองได้ จึงรีบวิ่งไปที่ประตู แล้วพูดกับหลี่เต๋อฝูที่กำลังสับสนว่า “นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ฝ่าบาท ชุดก่อนหน้านี้สกปรกแล้ว”
หลี่เต๋อฝูถามทันที “พระสนมเหยาเฟย เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพริบตาเดียว กระหม่อมจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“มีมือสังหารเข้ามา ฝ่าบาทประมือกับคนผู้นั้น ตอนนี้มือสังหารก็จากไปแล้ว”
อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าส่งคนไปเรียกจิ้งอ๋องเข้าวังด้วย ฝ่าบาทอาจต้องการพบเขา”
หลี่เต๋อฝูเริ่มวิตกกังวลทันที “ฝ่าบาทปลอดภัยหรือไม่”
“ไม่ต้องห่วง ทรงไม่เป็นไรแล้ว” อินชิงเสวียนพูดจบก็กลับเข้าไปในห้อง
เย่จิ่งอวี้เข้าไปในถังไม้แล้ว พอแช่ตัวน้ำในถังก็ท่วมอยู่ที่บริเวณช่วงท้อง แช่ไม่ถึงบริเวณที่บาดเจ็บ
ดูเหมือนเขาค่อนข้างอิดโรยอยู่บ้าง เขาหลับตาลงเอนตัวพิงถัง ราวกับว่าหลับไปแล้ว
อินชิงเสวียนกระแอมไอเบาๆ อย่างตั้งใจ อยากถามเย่จิ่งอวี้ว่าทำไมเมื่อครู่เขาถึงรู้สึกปวดหัว แต่เย่จิ่งอวี้กลับไม่รู้สึกตัว เหมือนจะหลับไปจริงๆ
อินชิงเสวียนไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงรู้สึกง่วงทุกครั้งที่แช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ แต่ตัวเองกลับไม่มีอาการนั้น
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็ไม่หาคำตอบได้ นางจึงเข้าไปในมิติทั้งอย่างนั้น เพราะนางเองก็ต้องการเติมพลังเช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เย่จิ่งอวี้เผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิด อินชิงเสวียนจึงเปิดหน้าจอในมิติไว้ตลอดเวลา
หลังจากอาบน้ำ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงก็หายเป็นปลิดทิ้ง พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกระอักเลือดออกมา อินชิงเสวียนก็รีบดื่มน้ำพุวิญญาณไปหลายอึก
จนกระทั่งนางไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไป อินชิงเสวียนจึงออกจากมิติ
เย่จิ่งอวี้ยังคงหลับใหล คราวนี้ไม่มีควันขาวออกมาจากศีรษะของเขา แต่หลอดเลือดที่แขนของเขากลับนูนขึ้นมา หากเขามองดูดีๆ ก็เหมือนว่ามีบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา
อินชิงเสวียนก้มหน้าตรวจสอบ แต่บังเอิญได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นางรีบหยิบผ้าเช็ดโยนลงในถัง หยดน้ำเล็กๆ ที่สาดกระเซ็นทำให้เย่จิ่งอวี้ตื่นขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น และมือทั้งสองข้างก็บีบข้อมือของอินชิงเสวียน
แรงบีบอันมหาศาลทำให้อินชิงเสวียนร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด แล้วเย่จิ่งอวี้จึงรีบปล่อยมือทันที
เรียวตาหงส์ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย “เสวียนเอ๋อร์?”
เย่จิ่งอวี้จับมืออินชิงเสวียน มองไปยังรอยแดงบนข้อมือของนาง รู้สึกผิดเล็กน้อย
“ขอโทษที ข้าเผลอหลับไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...