หลังจากดื่มชาแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็แต่งตัวเต็มยศ
ชุดคลุมสีเหลืองอ่อนทำให้เขาดูมีสูงศักดิ์น่าครั่นคร้าม เรียวตาหงส์ดูผ่องใส
เย่จั้นยังคงสวมชุดขาวราวกับหิมะ ปราศจากฝุ่นผงแปดเปื้อน
เขาเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน กางเสื้อคลุมออก และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“กระหม่อมเย่จั้น ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปช่วยเย่จั้นลุกขึ้น พูดอย่างอบอุ่น “ที่นี่ไม่มีคนนอก เหตุใดเสด็จอาต้องมากพิธีเช่นนี้ เชิญลุกขึ้นเร็ว”
เย่จั้นยืนขึ้น กวาดสายมองสำรวจร่างกายของเย่จิ่งอวี้
แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “กระหม่อมได้ยินมาว่ามีคนลอบสังหารในวัง ฝ่าบาทก็ได้รับบาดเจ็บจากการใช้กำลังภายในด้วย ตามหมอหลวงมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พันแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีพลังงานเหลือเฟือ ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนแม้แต่น้อย เสด็จอาไม่ต้องห่วง”
อินชิงเสวียนเหลือบมองใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ ก็เห็นว่าเขาดูแช่มชื่น สีหน้าดูไม่เลว จึงคิดว่าการแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณได้ผลจริงๆ
ช่วงนี้ควรให้เขาแช่น้ำพุวิญญาณทุกวันก็ดี เย่จิ่งอวี้ฝึกวรยุทธ์มา ดังนั้นน้ำพุวิญญาณน่าจะช่วยเขาได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็เหลือบมองไปยังเย่จั้น
ถ้าให้เขาแช่น้ำอีกคนล่ะ จะเกิดผลอะไรขึ้นกันนะ
แต่จะคำพูดนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร
หลานสะใภ้ชวนอาของสามีอาบน้ำ แค่คิดก็รู้สึกกระดากใจแล้ว
ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันเถอะ
เย่จั้นนั่งอยู่บนตำแหน่งที่นั่งข้างๆ แล้ว อาจเป็นเพราะเขาเดินมาเร็ว รู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย จึงหยิบน้ำขึ้นมาจิบ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นชาร้อน แต่กลับรู้สึกถึงลมปราณเย็นๆ ไหลผ่านลำคอไปยังแขนขาในทันที เขารู้สึกสบายอย่างอธิบายไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองดูน้ำในถ้วยด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนมีสีหน้าเป็นปกติ เขาจึงระงับสิ่งที่ต้องการถามเสีย
เปลี่ยนมาถามว่า “ได้ยินมาว่าจอมพลเฒ่าก็ถูกลอบสังหารด้วย รู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร มือสังหารในวังเป้ใดปู ฝ่าบาทได้ส่งคนไปสืบดูหรือยัง”
เย่จิ่งอวี้วางถ้วยชาลง ดวงตาทั้งคู่ฉายแววตาเย็นชา
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ผู้ที่ลอบสังหารจอมพลเฒ่าน่าจะเป็นอาซือหลานตัวจริง เขาสวมหน้ากากใบหน้าของกวนเซี่ยว จอมพลเฒ่าไม่ทันได้ตรวจสอบ จึงตกหลุมพรางของเขา ส่วนมือสังหารที่เข้าวังมานั้น ข้าไม่รู้เบาะแสอะไรเลย”
เย่จั้นกล่าวว่า “ตามที่คาดไว้ อาซือหลานใช้อุบายต้นหลี่ตายแทนต้นถาวจริงๆ หมอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”
เขาบีบถ้วยชาแน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มือสังหารในวังจะต้องเป็นพรรคพวกของอาซือหลานแน่ๆ”
เย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ
“คงไม่หรอก คนผู้นี้มีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม รู้วิธีจี้สกัดจุดสลบ เขาเข้าวังมาราวกับวังหลวงเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยว และวิชาตัวเบาของเขาก็โดดเด่นพอสมควรเลย”
เย่จิ่งอวี้อธิบายถึงลักษณะท่าทางและจุดประสงค์ของชายคนนี้ให้ฟัง หลังจากได้ยินเช่นนี้ เย่จั้นก็ตกใจเล็กน้อย และนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที
คนผู้นี้เป็นเพียงตำนานในยุทธภพ
มีข่าวลือว่าปรมาจารย์กระบี่ลิ่นเซียวตรอมใจเพราะภรรยาสุดที่รักเสียชีวิต จนเส้นผมขาวโพลนในชั่วข้ามคืน ไม่สนใจเรื่องทางโลกจนถึงบัดนี้
ว่ากันว่าภรรยาสุดที่รักของเขาเก่งเรื่องดนตรี...
เมื่อมาถึงตรงนี้ หัวใจของเย่จั้นก็หวั่นไหว
“นี่...บางที...อาจจะเกี่ยวข้องกับพิณโบราณนั้นก็ได้”
เย่จั้นบอกการเดาของเขาให้ทั้งสองคนฟัง จากนั้นก็พูดด้วยความละอายใจว่า “เพราะข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบ คิดไม่ถึงว่าพิณนั้นจะสร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้”
อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร แค่ดีดพณก็ถูกยอมรับเป็นศิษย์ แถมมาอย่างบังคับอีกด้วย คนประหลาดคนนั้นออกจะไร้เหตุผลเกินไปกระมัง
จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ภรรยาของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร”
เย่จั้นส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลืออยู่ในยุทธภพ เรื่องจริงหรือเท็จก็ไม่อาจรู้แน่”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางทีมันอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ได้ อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่มือสังหารมีผมขาว ถ้าเขามีตัวตนอยู่จริง ด้วยสถานะของเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก”
หัวใจของเย่จิ่งอวี้จมดิ่งลงเล็กน้อย เรื่องของลิ่นเซียวนั้นไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียทีเดียว อาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาก็เคยพูดถึงคนผู้นี้ แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีอายุหนึ่งร้อยปี แล้วทำไมหน้าตาถึงดูเด็กนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...