“หากไทเฮาไม่สบายพระทัย กระหม่อมจะส่งคนไปสืบเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”
ชุยไห่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “หลังจากเกิดเรื่องเสวียนเจิน ฝ่าบาทก็ไม่น่าจะหาคนเข้าวังมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว”
ไทเฮาหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เหตุผลที่เสวียนเจินเต็มใจที่จะอยู่ในวัง ก็เพราะว่าข้าสามารถอ่านความคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาไม่ใช่หลวงจีน ก็เหมาะสมกับอันไท่ผินอยู่ แต่น่าเสียดาย ที่เขาไร้ความสามารถเกินไป สุดท้ายข้าก็ใช้การไม่ได้ กลับทำให้นังแพศยาดึงดูดความสนใจไปแทน”
ชุยไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เรื่องนี้...”
ไทเฮาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังเห็นสัญญาณบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลวงจีนก็ดี นักพรตเต๋าก็ช่าง มนุษย์ล้วนหนีไม่พ้น สุรา เมถุน ทรัพย์ และความโกรธหรอก ประเดี๋ยวข้าจะไปดูหน่อย หลวงจีนผู้นี้ชอบสิ่งใด”
ความทะเยอทะยานของไทเฮายังไม่สิ้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเสวียนเจิน นางก็เข้าใจด้วยว่าโลกนี้ไม่มีผีหรือปีศาจ ทุกอย่างเป็นเพียงการตบตาคน ใช้เรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น
นางไม่เชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับนังแพศยาอินชิงเสวียนทุกครั้งไปหรอก
ชุยไห่ช่วยประคองไทเฮาทันที
“ไทเฮา เดินระวังด้วย่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไทเฮาเสด็จ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชุยไห่ติดตามไปเพียงลำพัง
ในการเดินทางจะขาดขันทีนางกำลังไปไม่ได้ และแล้วขบวนนั้นเก็มุ่งหน้ากันไปอย่างเอิกเกริก
ไม่นานอินชิงเสวียนก็รู้ว่าไทเฮาไปที่หอสวดมนต์ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
นางแม่มดเฒ่า คราวนี้เจ้าจะต้องตายไม่ได้เกิดอีกแน่นอน!
เรื่องอื่นอินชิงเสวียนสามารถทนได้ แต่เรื่องลูกชายนางทนไม่ได้เด็ดขาด
ดังคำกล่าวที่ว่า ครั้งแรกปล่อยผ่านไปได้ แต่ห้ามมีครั้งที่สอง
เรื่องหลิวหมัวมัวนางให้โอกาสไทเฮาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นนางเองที่ยังคิดไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษคนอื่น
เมื่อคิดถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มของแม่มดเฒ่า ดวงตาของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
วันนั้น คงไม่นานเกินไป
ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองหลวงเจียงวู
จดหมายฉบับหนึ่งได้ส่งถึงมือของราชาเผ่าแห่งเจียงวู
หลังจากที่เห็นข้อความไว้ในจดหมายว่า อาซือหลานถูกฮ่องเต้แห่งต้าโจวแขวนคอลงจากหอคอยของเมือง ถูกทรมานด้วยบาดแผลนับพันครั้ง สีหน้าของราชาเผ่าพลันเปลี่ยนไป
เมื่อผ่านไปนานหลายอึดใจ เขาก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง
หากอาซือหลานตายจริงๆ ฟางรั่วกับโยวหลานคนใดคนหนึ่งจะต้องกลับมาแน่นอน สองคนนี้เป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนโดยราชครูเอง และอาซือหลานก็มีไหวพริบ ไม่มีวันทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด จดหมายฉบับนี้มีความน่าสงสัยหลายประการ
“ผู้ส่งสารพูดอะไรอีกหรือไม่”
องครักษ์พูดด้วยความเคารพ “เอาแต่ร้องไห้ ขอร้องให้ราชาเผ่าล้างแค้นแทนท่านอ๋องอย่างเดียว ไม่ได้พูดอะไรมาก”
ราชาเผ่าโบกมือ “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน”
หลังจากที่องครักษ์ออกไปแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในห้อง
น้องชายคนนี้ของเขามีสายเลือดของชาวต้าโตว มีนิสัยเจ้าเล่ห์เฉกเช่นคนในต้าโจว ที่เขาทำเช่นนี้ ย่อมมีแผนการของเขาแน่
เมื่อนึกถึงราชครูผู้นั้น สีหน้าของราชาเผ่าก็มืดมน
แม้ว่าราชครูจะช่วยเจียงวูไว้ไม่น้อย แต่ความภักดีที่แท้จริงของนางมีต่ออาซือหลานเพียงเท่านั้น
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในเผ่าอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอาซือหลาน แม้ว่าตัวเองจะเป็นราชาเผ่า แต่เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ถ้าอาซือหลานไม่ได้หายตัวไปตอนที่พี่ใหญ่ของเขาเสียชีวิตในวันนั้น บัลลังก์ก็จะตกเป็นของอาซือหลานแน่นอน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ราชาเผ่ายังคงไม่เข้าใจ
อินจ้งถูกเนรเทศไปยังเมืองซุ่ยหานแล้ว เดิมทีอาซือหลานควรกลับเจียงวูมาอย่างคนที่ประสบความสำเร็จ ทำไมเขาถึงไปลงมือในเมืองหลวงอีก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราชาเผ่าก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ไปตามราชครูมา”
สักพักก็มีเสียงกริ๊งดังขึ้น
สตรีสวมกระโปรงสีแดงสดเดินเข้ามาจากประตู
สตรีคนนี้อายุประมาณสิบเจ็บสิบแปดปีโดยประมาณ รูปร่างหน้าตางดงามมีเสน่ห์เย้ายวนใจ กระโปรงเข้ารูปขับเน้นให้สัดส่วนของนางเด่นชัด เห็นเรือนร่างที่น่าหลงใหล กลีบปากสีแดงสดประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคู่งามเป็นประกายไหววูบราวกับคลื่นน้ำในยามวสันต์
“อวี้เหยียนถวายพระพรท่านราชาเผ่า”
นางเข้าไปใกล้ราชาเผ่าและโค้งคำนับ กลิ่นหอมกระทบนาสิกประสาท ทำให้ราชาเผ่าก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปด้วยความตื่นตระหนก
สตรีคนนี้เก่งในการใช้กลิ่นของแมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่แม้แต่เขาเองก็แทบจะป้องกันไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...